| M

การใช้ชีวิตในญี่ปุ่นในช่วงโคโรน่าไวรัส

ถ้ามีใครมาถามฉันว่าชีวิตในญี่ปุ่นช่วงที่ไวรัสโคโรน่าระบาดในญี่ปุ่น (และทั่วโลก) เป็นอย่างไร ฉันคงจะบอกว่า "ฉันไม่รู้จะเปรียบเทียบชีวิตช่วงนี้กับอะไรดี" เพราะฉันไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศอื่นเลยระหว่างการระบาด แต่ในฐานะชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ได้รับประสบการณ์ที่ต่างออกไปและน่าสนใจเลยทีเดียว
ฉันอยู่ที่ญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน เลยมีความเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น แต่สำหรับคนที่เพิ่งมาญี่ปุ่น หรือคนที่พูดหรืออ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ ก็อาจเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสตัวนี้จะมีในหลากหลายภาษา แต่ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด หรือได้รับการแปลภาษาอย่างถูกต้อง และ และถ้าไม่ได้ข้อมูลในภาษาของตนเองแล้ว คุณอาจมีความเครียดจากข้อจำกัดทางข้อมูล
โชคดีที่เรามีอินเตอร์เน็ตและสื่อที่เป็นแหล่งความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการต่อสู้และป้องกันไวรัสโคโรน่าพื้นฐาน: การเว้นระยะทางสังคม การล้างมือ การสวมหน้ากากอนามัยและการไม่เดินทางไปในพื้นที่แออัดเท่าที่จะเป็นไปด้วย โดยการกระทำเหล่านี้ได้รับการยอมรับทุกที่ทั่วโลก ดังที่บรรยายได้จากรูปภาพเหล่านี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มักได้รับการยกย่องในเรื่องมาตรฐานด้านความสะอาด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการป้องกันการกระจายไวรัส (หลากครั้งที่ได้เราได้ยินนักท่องเที่ยวพูดถึงความสะอาดของห้องน้ำตามสถานีรถไฟและร้านค้า) และนี่ก็เป็นอีกทฤษฎีที่เราใช้ในการต่อสู้กับไวรัสโคโรน่า

ญี่ปุ่นมีกฎส่วนตัว คือ: กฎแห่งสาม "มิตสึ" โดยมี 3 วลีที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร 密 (“มิตสึ” หรือ “ความหนาแน่น”) ได้แก่
密閉 (“มิปเปะ” แปลว่า “ภาวะสูญญากาศ” และหมายถึงการมีอากาศถ่ายเทที่พอดี)
密集 (“มิชชู” แปลว่า “ความหนาแน่นของคน” และหมายถึงสถานที่ที่คนไปรวมตัวกันเยอะ ๆ)
密接 (“มิสเซตสึ” แปลว่า “ความใกล้ชิด” และหมายถึงการมีการเว้นระยะระหว่างบุคคล โดยเป็นตัวย่อในหมู่คนญี่ปุ่นของคำว่า "การเว้นระยะทางสังคม" เป็นที่น่าสนใจที่คำนี้ในภาษาอังกฤษมักจะถูกนำมาใช้สำหรับเก้าอื้ในสวนสาธารณะ ในร้านอาหาร เป็นต้น)

ความรู้สึกส่วนตัว:
ตามกฎ ฉันพบว่าคนญี่ปุ่นให้ความร่วมมือในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสเป็นอย่างมาก เมื่อเดินในเมือง ฉันคิดว่าคนกว่าร้อยละ 90 สวมหน้ากากซึ่งเป็นอะไรที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก แต่ก็แล้วแต่พื้นที่ เพราะในประสบการณ์ของฉันพื้นที่ในเมืองหรือส่วนหลักของเมือง คนจะสวมหน้ากากมากกว่า เช่น ในสถานีหลักและแหล่งชอปปิง คนเกือบทั้งหมดจะใส่หน้ากาก นี่เป็นสัญญาณที่ดีเพราะว่าสถานที่เหล่านี้มีคนหนาแน่นมาก ๆ แต่ถ้าออกนอกเมืองไป คนจะเห็นคนที่ไม่ใส่หน้ากากมากขึ้น แต่คนส่วนมากก็ยังปฏิบัติตามกฎ
การสวมหน้ากากไม่ใช่เรื่องปกติในญี่ปุ่น คนมักจะใส่เมื่อเป็นหวัด หรือเมื่อเป็นไข้/ฤดูกาลภูมิแพ้ ทำให้การใส่หน้ากากในญี่ปุ่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม้ว่าคุณจะเป็นคนที่มาจากประเทศที่ไม่ได้ใส่หน้ากากเป็นปกติ จริง ๆ แล้ว คนที่ไม่ใส่หน้ากากจะเป็นคนที่แปลกไปทันที นี่ยังเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมคนไปเข้าแถวหน้าร้านยาเมื่อไวรัสโคโรน่าเริ่มเป็นข่าวใหญ่ หน้ากาก (และทิชชู่) เป็นของหายาก และหลาก ๆ ที่ก็ขายจำนวนจำกัดแค่คนละ 1 ห่อเท่านั้น เรายังพูดกันขำ ๆ เลยว่า แม้ว่าคนอังกฤษ(แบบฉัน)จะชอบต่อคิว แต่ว่าคนญี่ปุ่นเป็นแชมป์การต่อคิวแน่นอน

ถ้ามีสักที่นึงที่คุณอยากให้คนใส่หน้ากากแล้วละก็ ก็ต้องเป็นบนรถไฟที่แสนแออัดของญี่ปุ่น และดีที่เกือบทุกคนก็ใส่ ฉันว่าบอกว่า "คนกว่าร้อยละ 90 " ใส่หน้ากากเมื่ออยู่นอกบ้าน แต่บนรถไฟคนใส่หน้ากากเยอะกว่าอีกล่ะ นอกจากนี้ คนยังไม่ค่อยพูดคุยกัน เพราะทุกคนมองออกไปข้างนอกหรือเล่นโทรศัพท์ของตนเอง ช่วงที่มี “ภาวะฉุกเฉิน” ที่ประกาศโดยรัฐบาลญี่ปุ่น สถานีและรถไฟมีคนน้อยกว่าปกติ แต่ตอนนี้ก็กลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ก็เห็นได้ว่าทุกคนสวมหน้ากากบนรถไฟ รูปด้านล่างถ่ายมาจากชานชลาที่สถานีชินจูกุ ซึ่งเป็นสถานที่มีคนใช้เยอะที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ คุณจะได้เห็นภาพที่ชานชลาว่างแบบนี้แค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับญี่ปุ่นและไวรัสโคโรน่า คือ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมี "การปิดพื้นที่" อย่างจริงจังในญี่ปุ่น รัฐบาลไม่มีอำนาจในการบังคับให้คนอยู่แต่ในบ้าน รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นให้อิสระแก่คนญี่ปุ่นในการเดินทาง (ภาษาญี่ปุ่น คือ 移動の自由) ดังนั้น เมื่อรัฐบาลออกภาวะฉุกเฉินและขอให้คนอาศัยอยู่แต่ในบ้าน แต่ก็ไม่สามารถบังคับได้ ก็ทำได้แค่หวังให้ประชาชนร่วมมืิอ ฉันไม่คิดว่าระบบนี้จะทำได้ในหลาย ๆ ประเทศ แต่ที่ญี่ปุ่นระบบนี้กลับได้ผลเป็นอย่างมาก

ระหว่างที่มีภาวะฉุกเฉิน ร้านค้าหลายแห่งปิดทำการหรือลดจำนวนชั่วโมงการเปิดบริการลง และตอนนี้เมื่อภาวะฉุกเฉินได้ยกเลิกไป อย่างน้อย ๆ ตอนนี้ก็กลับมาค่อนข้างปกติ แต่ร้านก็ยังมีเจลล้างมือที่ทางเข้า ร้านส่วนใหญ่มีป้ายให้ลูกค้าสวมหน้ากากอนามัย และวัดอุณหภูมิการเข้าร้าน ความร่วมมือของคนญี่ปุ่นทำให้สิ่งเหล่านี้สัมฤทธิ์ผล ฉันเห็นป้ายเขียนว่า "ไม่บริการถ้าไม่สวมหน้ากาก" (ปกติแล้วจะมีป้ายขอให้ลูกค้าสวมหน้ากาก แต่ไม่ถึงกับเขียนว่า "ไม่บริการถ้าไม่สวมหน้ากาก") เป็นเรื่องที่ทำให้ตกใจ เพราะคนส่วนมากก็ยังสวมหน้ากาก ทำให้ฉันคิดว่าป้ายนี้ไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น

ญี่ปุ่นมักถูกมองเป็นประเทศที่มีความล้ำสมัยทางเทคโนโลยี (ซึ่งก็จริงเป็นบางส่วน) บางครั้งก็กลับเป็นไปอย่างเรียบง่ายและไม่ได้ใช้เทคโนโลยีซึ่งเป็นทางออกของปัญหา ในปัจจุบัน ร้านค้าใช้แผ่นพลาสติกกั้นระหว่างลูกค้าและเจ้าหน้าที่ เป็นทางออกที่ง่ายและได้ผลดี
แม้ว่าคนญี่ปุ่นจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือมีภัยพิบัติ (ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว ไต้ฝุ่น เป็นต้น) ประเทศก็ยังมีจำนวนเคสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ตัวเลขจะไม่ได้สูงเท่ากับหลาย ๆ ประเทศ แต่ก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการประกาศภาวะฉุกเฉินอีกครั้ง และโอกินาว่าได้ประกาศภาวะฉุกเฉินของตนเองแล้ว ฉันหวังว่ารัฐบาลจะพิจารณาประกาศภาวะฉุกเฉินรอบที่สองเพื่อให้คนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแบบรอบแรก
ฉันมาจากอังกฤษ และฉันไม่ได้อยู่ที่บ้านเกิดในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรน่า ความเห็นของฉันเห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถจัดการได้เลย (ซึ่งเห็นได้จากจำนวนเคสที่สูงและจำนวนผู้เสียชีวิตจำนวนมาก) เมื่อนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ เห็นถึงการตอบรับด้านลบเกี่ยวกับรัฐบาลของเขา นายกเทศมนตรีกรุงโตเกียว ยูริโกะ โคอิเคะ ได้คำชมจากความเป็นผู้นำ (และช่วยให้เธอชนะการเลือกตั้งอีกสมัยได้อย่างง่ายดาย) และดูเหมือนรัฐบาลจะมีการทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญที่หวังว่าจะมีความร่วมมืิออย่างแน่นแฟ้นในอนาคต
ฉันจำได้จากหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นที่กล่าวว่าอิทธิผลของศาสนาพุทธได้ทำให้คนญี่ปุ่นมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับภัยพิบัติและความโชคร้าย โดยกล่าวว่า しょうがない ที่แปลว่า "ทำอะไรไม่ได้" แต่เขาก็สามารถร่วมมืิอกับข้อแนะนำต่าง ๆ ได้ นี่เป็นข้อขัดแย้งที่น่าสนใจเกี่ยวกับญี่ปุ่น

ไวรัสโคโรน่าเป็นประเด็นระดับโลก แต่ประเทศที่คุณอาศํยอยู่ (ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่คุณถือกำเนิดหรือไม่) มีผลต่อทัศนะของคุณต่อสิ่งต่าง ๆ โดยรวม ฉันคิดว่าญี่ปุ่นสามารถจัดการไวรัสโคโรน่าได้ "ดีว่าบางที่ และแย่กว่าที่อื่น ๆ " และเป็นเหตุผลว่าทำไมจำนวนเคสยังไม่ได้สูงมาก (เมื่อเทียบกับประชากร) ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากการเมืองแต่เป็นเพราะประชาชนในประเทศ แม้ว่าจะทำได้ดีกว่าหลาย ๆ ประเทศ แต่ฉํนหวังว่าคนญี่ปุ่นจะฟังและทำตามคำขอ และคิดถึงเมือง จังหวัด และประเทศเท่าคิดถึงตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศผ่านการระบาดครั้งนี้ได้