| กองบรรณาธิการCentrip

ฮนตาเกะโคโด:ตามรอยทางเดินของพระฝึกหัดในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของคิโซะ

ชาวญี่ปุ่นกับการนมัสการอนตาเกะ

ด้วยความที่ 75% ของพื้นที่บนบกของประเทศญี่ปุ่นเป็นภูเขา คนญี่ปุ่นจึงมีความรู้สึกที่คุ้นเคยและใกล้ชิดกับภูเขามาโดยตลอด ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนั้นทำให้คนญี่ปุ่นมีทั้งความรู้สึกที่ผูกพันกับภูเขา และยังมีความรู้สึกเคารพนับถือต่อภูเขาอีกด้วย จนในที่สุด ความรู้สึกดังกล่าวก็ได้กลายมาเป็นรูปแบบหนึ่งของการนมัสการภูเขาและยังเชื่อมโยงไปยังความเชื่อต่างๆเช่นชินโตและพุทธศาสนา ฯลฯ ซึ่งผูกพันและพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน

ท่ามกลางภูเขาหลายลูก จะมีเพียงบางแห่งที่ผู้คนถือว่ามีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ เช่น ภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาฮะคุซัง ภูเขาทาเทยามะและภูเขาอนตาเกะ ซึ่งในบทความนี้เราจะกล่าวถึงอนตาเกะ ซึ่งถือเป็นตัวแทนของ "ยอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์"

ว่ากันว่าผู้คนเริ่มเข้ามายังภูเขาอนตาเกะในศตวรรษที่ 9 แต่เมื่อก่อนเป็นสถานที่พิเศษที่มีคนเข้าได้แบบจำนวนจำกัด เช่น พระฝึกหัดที่ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 ผู้ปฏิบัติธรรมนามว่า "คะคุเม" และ "ฟุคัง" ได้เปิดเส้นทางภูเขาอนตาเกะให้กับบุคคลทั่วไป ได้ปีนเขา ทำพิธีกรรมต่าง ๆ จนทำให้การนมัสการภูเขาอนตาเกะหรืออนตาเกะชิงโคเริ่มเป็นที่แพร่หลายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น

การนมัสการภูเขาอนตาเกะและถนนอนตาเกะโคโด

สถานที่ของการนมัสการอนทาเกะแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ “ฟุกุชิมะจูกุ” ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่พักบนถนนนะกะเซ็นโด
ฟุกุชิมะจูกุตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างมะโกะเมะจูกุและทสึมะโกะจุกุ และยังตั้งอยู่ติดกับสถานีคิโซะฟุกุชิมะ คุณสามารถไปยังสถานีคิโซะฟุกุชิมะจากสถานีนาโกย่าได้ในเวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาทีโดยรถด่วนพิเศษ "ไวด์วิวชินาโนะ"

เส้นทางสักการะเริ่มต้นจากฟุกุชิมะจูกุและมุ่งหน้าไปยังภูเขาอนตาเกะเรียกว่า "อนตาเกะโคโด" แม้กระทั่งในปัจจุบัน พระฝึกหัดผู้มีความศรัทธทในภูเขาอนตาเกะก็ยังคงเดินไปตามถนนเก่าอนตาเกะแห่งนี้ ไปชำระตัวที่น้ำตก ชมความงามของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับมุ่งสู่ยอดเขา ระหว่างทางมีอนุสาวรีย์ของเพระฝึกหัดชื่อว่า "เรจินฮิi" และว่ากันว่ามีอนุสาวรีย์เรียงรายอยู่มากกว่า 20,000 แห่ง

เนื่องจากเส้นทางภูเขาอันแสนลึกลับนี้ ได้เกิดการปะทุของภูเขาอนตาเกะขึ้น ในเดือนกันยายน 2014 การเข้าถึงบริเวณใกล้เคียงของยอดเขาจึงถูกจำกัด แต่นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถเยี่ยมชมสถานที่อื่น ๆ ได้ หากคุณต้องการสัมผัสเกี่ยวกับความเชื่อและจิตวิญญาณของญี่ปุ่นโบราณ คุณไม่ควรพลาดที่นี่ และเหนือสิ่งอื่นใดคือการเดินเล่นในธรรมชาติที่สวยงามของภูมิภาคคิโสะ ซึ่งบรรยากาศจะเปลี่ยนไปในแต่ละฤดูกาล เรียกได้ว่าหัวใจของคุณจะถูกเติมเต็มที่นี่

การเก็บข้อมูลเพื่อเขียนบทความนี้เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีในภูมิภาคคิโสะกำลังสวยงาม ตอนสัมภาษณ์ฉันได้รบกวนให้คุณโคชิ จาก "ศูนย์การท่องเที่ยวคิโสะอนตาเกะ" ที่อยู่ ณ สถานีคิโสะฟุกุชิมะ มาเป็นไกด์ให้ฉันและพาฉันไปรอบ ๆ ถนนอนตาเกะโคโดเป็นเวลาประมาณครึ่งวัน ที่สำนักงานการท่องเที่ยวคิโสะอนตาเกะ มีไกด์คอยให้บริการเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย

ศาลเจ้าอนตาเกะ ซาโตะมิยะ

ก่อนที่จะเริ่มการเดินป่าเต็มรูปแบบ ฉันได้ไปนมัสการ "ซาโตะมิยะ " ศาลเจ้าของอนตาเกะ
ศาลเจ้าอนตาเกะเป็นคำเรียกโดยทั่วไปของศาลเจ้าหลายแห่งที่กระจายอยู่ทั่วภูเขาอนตาเกะ ศาลเจ้าแห่งนี้อยู่ที่หมู่บ้านโอตากิกุจิซึ่งเป็นสถานที่ที่ตั้งแต่อดีตผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนมากแวะมาสวดมนต์ก่อนที่จะไปปีนเขาอนตาเกะ

หน้าประตูโทริอิมีบันไดหินหลายร้อยขั้นที่ต้องเดินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งยังมีต้นไม้ฮิโนกิยักษ์และซาวาระปกคลุมทั้งสองด้านของโทริอิ ทางลาดชันที่มาอย่างกะทันหันทำให้ฉันรู้สึกตกใจอยู่บ้างแต่แสงแดดที่ส่องผ่านต้นไม้นั้นช่างดูผ่อนคลายและความงามของมอสสีเขียวที่ขึ้นตามขั้นบันไดหินและโคมไฟก็น่าหลงใหลเป็นอย่างมาก

บันไดหิน 371 ขั้นที่ทอดจากเสาโทริอิ
โคมไฟที่คอยส่องแสงตามขั้นบันไดหิน

หลังจากปีนบันไดที่แสนจะยาวเสร็จแล้ว ฉันเจอศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่มีกำแพงหินเป็นฉากหลัง ซึ่่่งสามารถมองเห็นน้ำที่ไหลซึมออกมาจากกำแพงหินกลายเป็นน้ำตกบาง ๆ บริเวณรอบ ๆ เรียงรายไปด้วย ""อนุสาวรีย์เรจินหรืออนุสรณ์สถานทางศาสนา" ทำให้ดูมีบรรยากาศที่ลึกลับ อนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งได้รวบรวมความคิดของสาวกของผู้นับถืออนตาเกะที่ว่า "แม้หลังจากความตาย วิญญาณของฉันจะกลับไปที่ภูเขาและจะกลับไปเพื่อรับใช้เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ตลอดไป"

น้ำที่ไหลออกมาจากโขดหินข้างศาลเจ้า
"อนุสาวรีย์เรจิน" ที่อยู่รอบ ๆ ศาลเจ้า

โอมะตะซันชะและอนตาเกะซังไดจิน

ที่จุดเริ่มต้นของการขึ้นเขามีโอมะตะซันชะอยู่
โอมะตะซันชะสร้างขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่สามารถปีนขึ้นไปถึงยังยอดเขาอนตาเกะได้และมีการกล่าวกันว่าการได้มาเยี่ยมชมที่นี่จะมีความหมายเช่นเดียวกับการไปเยี่ยมชมยอดเขา ขอบอกว่าบันไดหินที่นี่มันหินมาก ๆ ค่ะ เพราะมันยาวและชันกว่าบันไดที่ซาโตะมิยะที่ฉันเพิ่งไปแวะมาเมื่อสักครู่ซะเอามาก ๆ

รูปปั้นเทพเจ้าทั้งสามที่เรียงรายอยู่ก่อนทางสู่ยอดเขาจะทำให้เรารู้สึกถึงพลังอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากปีนขึ้นไปบนจนสุดทาง ขณะนมัสการฉันหยุดพักหายใจครู่นึง ก่อนจะหันกลับไปที่บันไดที่ฉันปีนขึ้นมาและกลับไปที่ทางเข้าของโอมาตะซันชะ เนื่องจากมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่จึงทำให้บันไดหินลื่นมาก เวลาลงต้องลงอย่างระมัดระวังนะคะ

รูปปั้นพระเจ้าที่มองเห็นได้ในระยะไกล
รูปปั้นสามเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งอนตาเกะ(เอื้อเฟื้อภาพถ่าย:ศูนย์การท่องเที่ยวคิโสะอนตาเกะ)

จากโอมาตะซันชะสู่หลักสูตรการเดินป่า

หนึ่งในเส้นทางเดินป่าบนถนนอนตาเกะโคโดที่แนะนำโดยศูนย์การท่องเที่ยวคิโสะอนตาเกะคือเส้นทางที่เริ่มต้นจากทางเข้าโอมาตะซันชะ เดินไปรอบ ๆ สุสานและน้ำตกฟุคัง จากนั้นกลับไปที่โอมาตะซันชะ มีบางสถานที่ที่อาจจะเดินไม่สะดวก ดังนั้นหากไม่ใช้รองเท้าปีนเขา ควรสวมรองเท้าที่เหมาะกับการเคลื่อนไหวได้สะดวก

วิหารขนาดเล็กสำหรับพระฝึกหัด
ร่องรอยของพิธีกรรมที่หลงเหลืออยู่บนกำแพงหินอันสูงชัน

คอร์สนี้จะทำให้คุณรู้สึกเพลิดเพลินไปกับทั้งเสน่ห์ทางธรรมชาติและเสน่ห์ทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
ด้านหลังของกำแพงหินธรรมชาติขนาดใหญ่มีร่องรอยของพิธีกรรมทางศาสนาหลงเหลืออยู่ อนุสาวรีย์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วเส้นทางทำให้คุณสัมผัสได้ถึงบรรยากาศลึกลับที่แตกต่างจากเส้นทางบนภูเขาทั่วไป

ช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงใบไม้แห้งจะผลัดใบลงมาเป็นพรม เวลาเดินก็จะได้ยินเสียงกรอบแกรบซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกดีไปอีกแบบ และที่นี่จะแสดงเสน่ห์ที่แตกต่างออกไปในแต่ละฤดูกาล

ฮานะโดะฟุคันโด(เอื้อเฟื้อภาพถ่าย:ศูนย์การท่องเที่ยวคิโสะอนตาเกะ)
รูปปั้นพระโพธิสัตว์ 11 ตัว

เมื่อเดิน 40 นาทีจากโอมะตะซันชะ คุณก็จะพบกับฮานะโดะฟุคันโด ฮานะโดะฟุคันโดเป็นหนึ่งในสี่สุสานของฟุคัง พระฝึกหัดที่นับถือภูเขาอนตาเกะได้เปิดให้กับประชาชนทั่วไปเพื่อเผยแพร่ความน่านับถือของอนตาเกะไปทั่วญี่ปุ่น
สุดทางของฟุคันโดถูกแบ่งเป็นซอยเล็ก ๆ หากเดินต่อไปอีกเล็กน้อยตามแนวอนุสาวรีย์ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งคุณจะพบกับจิโซหรือรูปปั้นพระโพธิสัตว์ น้อยน่ารัก 11 ตัว หากเดินตามทางนี้ต่อไป จะเหมือนเราเดินไปตามเส้นทางอนตาเกะโคโดแบบดั้งเดิม แต่ฉันเลือกที่จะไปยังทางแยกด้านซ้าย มุ่งหน้าไปยังทางเดินที่สดใสกว่า

ทางเดินเล่นไปยังที่ตั้งแคมป์หมู่บ้านกิงกะมุระ

ทางเดินนี้เชื่อมต่อไปยังที่ตั้งแคมป์ ฉันต้องเดินจากทางแยกไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่เพราะระดับความสูงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก อีกทั้งการเดินไปตามทางเดินที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สีสวยในฤดูใบไม้ร่วงเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ฉันรู้สึกดี ในบางที่ คุณสามารถมองเห็นยอดเขาอนตาเกะผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้ได้อีกด้วย。

ยอดเขาอนตาเกะที่สามารถมองเห็นผ่านต้นหญ้าซูซูกิ
ต้นไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีสันสวยงาม

ในที่สุดเมื่อคุณขึ้นบันไดไปอีกเล็กน้อย คุณก็จะมาถึง "แคมป์หมู่บ้านกิงกะมุระ" ที่ตั้งแคมป์อยู่ในพื้นที่เปิดโล่งซึงคุณสามารถมองเห็นยอดเขาอนตาเกะซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ได้
ภูเขาอนตาเกะเป็นยอดเขาเดี่ยวที่มีระดับความสูงอยู่ที่ 3067 เมตรและสามารถมองเห็นได้จากสถานที่ต่างๆในภูมิภาคชูบุ เช่นนาโกย่า เป็นภูเขาไฟที่เคยปะทุขึ้นในปี 2014 และก่อให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ รูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของยอดเขาซึ่งประกอบด้วยยอดเขาหลายยอดยังเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาอนทาเกะ เมื่อมองไปที่ภูเขาอนตาเกะใกล้ ๆ คุณอาจจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของภูเขาและความรู้สึกเคารพในภูเขาของชาวญี่ปุ่นในสมัยก่อน

จูนิกงเก็ง

จากแคมป์หมู่บ้านกิงกะมุระประมาณ 30 นาที คุณจะพบกับศาลเจ้าเก่าแก่ชื่อจูนิกงเก็ง
ที่จูนิกงเก็งนั้น เป็นที่ประดิษฐานชองเทพเจ้าเกี่ยวกับเด็กและการคลอดที่ปลอดภัย ในวิหารมีตุ๊กตาที่เรียกว่า "ซะรุโบโค" วางขายสำหรับผู้ที่ต้องการมีลูกเอากลับไป และเมื่่อความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริงแล้ว พวกเขาจะต้องกลับมาทำตุ๊กตา 12 ตัว เพื่อแทนคำขอบคุณ

วิหารของจูนิกงเก็ง
"ซะรุโบโค" ที่อยู่ในวิหารใหญ่

จูนิกงเก็งแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอนตาเกะ นอกจากอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์มากมายที่สร้างขึ้นในบริเวณโดยรอบแล้ว ยังมีรูปปั้นของเทพเจ้าต่างๆมากมายตั้งแต่เทพเจ้าญี่ปุ่นไปจนถึงเทพเจ้าลึกลับเช่นเทพเจ้าโชคลาภทั้งเจ็ดและซูซาโนโอะ(เทพเจ้าแห่งทะเลและพายุ) เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่รวบรวมความเชื่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ใช่ของอนตาเกะเท่านั้นแต่ยังรวมความเชื่อจากหลายเทพเจ้าอีกด้วย

น้ำตกชินทะกิ

จากจูนิกงเก็ง 30 นาที เราก็จะมาถึงน้ำตกชินทะกิi ชินทะกิเป็นน้ำตกแห่งศรัทธาซึ่งมีการกล่าวกันว่าเมื่อก่อนชื่อของน้ำตกถูกเขียนด้วยตัวคันจิที่แปลว่า "เทพเจ้า" ไม่ใช่คำว่า "ใหม่"แบบในปัจจุบัน ใกล้ ๆ น้ำตกมีกระท่อมสำหรับพระฝึกหัดที่สามารถพักได้ 75 หรือ 100 วันและยังคงเปิดใช้งานอยู่

ถ้ำหินที่ว่ากันว่าฟุคังถือตะกร้าเข้ามาอยู่ที่นี่
คุณสามารถเข้าไปทางด้านหลังของน้ำตกได้(เอื้อเฟื้อภาพถ่าย:ศูนย์การท่องเที่ยวคิโสะอนตาเกะ)

มีช่องที่ด้านหลังของน้ำตกชินทะกิและคุณสามารถเข้าไปที่นั่นได้ แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ที่ฉายให้เห็นละอองฝอยเล็ก ๆ เป็นภาพที่ลึกลับสวนงามมาก

น้ำตกคิโยทากิ

น้ำตกคิโยทากิเป็นสถานที่สุดท้ายที่ควรเยี่ยมชมรองจากน้ำตกชินทากิ
คิโยทากิเป็นตัวอักษรคันจิที่แปลว่า "น้ำตกสำหรับชำระร่างกาย " และครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นที่สำหรับพระฝึกหัดที่มาปีนเพื่อไปนัสการภูเขาอนตาเกะ เป็นน้ำตกศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ากันว่าหลังจากชำระตัวที่น้ำตกแห่งนี้แล้วจะถือเป็นการเสร็จสิ้นการบำเพ็ญเพียรและการชำระร่างกายให้บริสุทธิ์
ในเวลาประมาณเที่ยง แสงแดดจะสาดส่องเข้ามาที่น้ำตกจากด้านหน้าและเกิดเป็นสายรุ้งที่สวยงาม ส่วนในฤดูหนาวบางครั้งคุณอาจจะได้เห็น "น้ำตกน้ำแข็ง" ที่เกิดจากน้ำที่แข็งตัว

น้ำตกคิโยทากิที่ล้อมรอบไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม(เอื้อเฟื้อภาพถ่าย:ศูนย์การท่องเที่ยวคิโสะอนตาเกะ)
สายรุ้งที่พาดผ่านน้ำตกคิโยทากิ(เอื้อเฟื้อภาพถ่าย:ศูนย์การท่องเที่ยวคิโสะอนตาเกะ)

นอกจากนี้ในฤดูร้อนคุณสามารถเข้าร่วมเวิร์คช็อป "ทะคิเกียว" ได้ ซึ่งเป็นกิจกรรมทีคุณจะต้องสวมชุดสีขาวแล้วเข้าไปใต้น้ำตก

สรุป

ทะเลสาบอนตาเกะและภูเขาอนตาเกะ
คุณโคชิที่เป็นไกด์ให้ฉัน

ฉันกลับไปที่โอมะตะซันชะอีกครั้งและการเดินป่าบนอนตาเกะโคโดของฉันก็จบลง ระหว่างทางกลับไปที่ คิโซะฟุกุชิมะ เงาของภูเขาอนตาเกะและใบไม้ร่วงของต้นไม้ที่สะท้อนในทะเลสาบอนตาเกะนั้นสวยงามมาก ทไให้ฉันสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ อยากให้ทุกคนลองไปที่ภูมิภาคคิโสะดู เพราะคุณจะสามารถสัมผัสได้ถึงความลึกลับของภูเขาอนตาเกะ ความเชื่อของผู้คนทีมีต่อธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสน่ห์ของญี่ปุ่น

Related Articles Related Articles