| Centrip Editorial Board

สถานที่สำคัญทางประวัติศาตร์ทั้ง 6 และอัญมณีแห่งวัฒนธรรมของจังหวัดนากาโน่

นากาโน่มีชื่อเสียงว่าเป็นจังหวัดที่อุดมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำสำหรับผู้ที่ต้องการเพลินเพลินกับภูมิประเทศอันงดงามและสนุกสนานกับกิจกรรมกลางแจ้งที่หลากหลาย ยิ่งไปกว่านั้น คุณจะได้พบกับสถานที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จำนวนมากกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดซึ่งทำให้พื้นที่แห่งนี้น่าค้นหามากยิ่งขึ้นไปอีกและสถานที่ทั้ง 6 แห่งที่เรากำลังจะแนะนำต่อไปนี้ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่จะเผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งและยั่งยืนที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยภูมิประเทศที่น่าอัศจรรย์นี้

สวนปราสาทโคะโมโระ ไคโคเอ็น (Komoro Kaikoen Castle Ruins Park)

กำแพงหินของปราสาทโคะโมโระ (Komoro Castle) และสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

ปราสาทโคะโมโระ (Komoro Castle) เป็นป้อมปราการที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวซึ่งสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน ปราสาทแห่งนี้ผ่านการต่อสู้ การเกิดเพลิงไหม้ และน้ำท่วมมาเป็นเวลาหลายศตวรรษก่อนการเปลี่ยนแปลงการเมืองและวัฒนธรรมในปลายสมัยเมจิช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งนำไปสู่การเลิกใช้งานและการรื้อถอนปราสาทแห่งนี้ในที่สุด แม้ว่าโครงสร้างดั้งเดิมจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่ส่วน แต่ก็ยังคงความน่าประทับใจ โดยบริเวณปราสาทเดิมนั้นมีการพัฒนาให้เป็นสวนไคโคเอ็น (Kaikoen) ที่ยังคงรักษาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชม อาจกล่าวได้ว่าสวนไคโคเอ็นเป็นประตูที่พาพวกเราย้อนไปยังอดีตอันน่าทึ่งที่ได้รับการผสมผสานเข้ากับฤดูกาลที่งดงามที่สุดของจังหวัดนากาโน่ ไม่ว่าจะเป็นดอกซากุระสีชมพูบานสะพรั่งทั้งสวนสาธารณะในฤดูใบไม้ผลิ หรือจะเป็นสีสันใบไม้เปลี่ยนสีราวกับสีแดงเพลิงของฤดูใบไม้ร่วง

ตัวปราสาท

ตามธรรมเนียมดั้งเดิมปราสาทในญี่ปุ่นจะถูกจัดวางเพื่อให้ป้อมปราการถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาหรือความโดดเด่นทางธรรมชาติอื่นๆ โดยการก่อสร้างจะเน้นสร้างปราสาทให้อยู่สูงเหนือคูน้ำและกำแพงชั้นนอก อย่างไรก็ตามปราสาทโคะโมโระนี้เป็นเพียงแห่งเดียวที่ไม่ได้สร้างตามธรรมเนียมดั้งเดิม ถือเป็นตัวอย่างเพียงที่เดียวของปราสาทในญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นในแบบตรงข้ามกับวิธีการแบบดั้งเดิม การก่อสร้างนั้นประกอบด้วยประตูชั้นนอกที่ตั้งอยู่บริเวณที่สูงสุดและโครงสร้างปราสาทหลักอยู่ในระดับพื้นดินที่ต่ำที่สุดและยังตั้งอยู่ใต้ป้อมปราการ แต่เมื่อคำนึงถึงภูมิศาสตร์ของพื้นที่แห่งนี้แล้วก็ คุณจะพบว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างมากเพราะปราสาทถูกล้อมรอบด้วยหน้าผาและแม่น้ำชิคุมะทางตะวันออกและมีหุบเขาลึกอยู่ทางเหนือและใต้ซึ่งปิดกั้นการโจมตีของศัตรูจากทิศทางดังกล่าว ดังนั้นทางตะวันออกจึงเป็นเพียงทิศเดียวที่เป็นจุดเสี่ยงซึ่งต้องเตรียมพร้อมและทุ่มกำลังคนพร้อมกับทรัพยากรทั้งหมดมายังทิศตะวันออกแห่งนี้ ปัจจุบันสิ่งเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของโครงสร้างดั้งเดิมของปราสาทคือประตูตะวันออกสมัยเอโดะดั้งเดิม คือ ประตูทางตะวันออก ที่มีชื่อว่า โอเทะมง (Otemon) และประตูชั้นในหรือ ซันโนะมง (San-no-Mon) โดยประตูทั้งสองได้ถูกยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญเนื่องจากมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อันโดดเด่น ระหว่างการเดินเล่นในสวน คุณยังจะได้พบกับส่วนอื่น ๆ ของกำแพงหินดั้งเดิมอีกด้วย

บริเวณโดยรอบ

สวนสาธารณะอันกว้างใหญ่แห่งนี้มีสถานที่ให้คุณไปเยี่ยมชมมากมาย เช่น สนามเด็กเล่น สวนสัตว์ขนาดเล็ก ศาลเจ้า และแกลอรี่เล็ก ๆ หลายแห่ง ดังนั้นคุณจึงมั่นได้เลยว่าจะพบกับสิ่งที่น่าสนใจมากมายระหว่างที่เดินเล่นในสวนแห่งนี้ หรือคุณจะเลือกมาใช้วันหยุดร่วมกับเพื่อนและครอบครัวที่สวนแห่งนี้ก็เป็นไอเดียที่ดีไม่แพ้กัน ค่าเข้าชมสวนและสิ่งอำนวยความสะดวกที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นใช้เพียงตั๋วเข้าสวนใบเดียวเท่านั้น โดยราคาสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 500 เยนและเด็ก 200 เยน ถือว่าเป็นค่าเข้าชมที่คุ้มค่าคุ้มราคาเมื่อนึกถึงกิจกรรมมากมายที่คุณจะได้พบในสวนแห่งนี้

ปราสาททัตสึโอกะหรือทัตสึโอกะ โกเรียวคากุ (Tatsuoka Castle Site, Tatsuoka Goryokaku)

จากจุดชมวิวบนยอดเขาคุณจะมองเห็นคูน้ำรูปดาวรอบปราสาททัตสึโอกะ (Tatsuoka Castle) ได้อย่างชัดเจน

ปราสาททัตสึโอกะ (Tatsuoka Castle) เป็นหนึ่งในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ชาติซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากปราสาทส่วนใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น โครงสร้างของปราสาทแห่งนี้มีลักษณะเป็นดาว 5 แฉกซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากป้อมปราการของยุโรปและก่อสร้างขึ้นในช่วงปลายยุคการปกครองของซามูไรเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการบริหารของเหล่าขุนนาง อาจกล่าวได้ว่าปราสาททัตสึโอกะเป็นเพียง 1 ใน 2 ป้อมปราการรูปดาวของญี่ปุ่นและการเดินทางมายังปราสาทแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนการเดินทางย้อนเวลาไปสู่อดีตอันน่าสนใจของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

ป้อมปราการ

การก่อสร้างปราสาททัตสึโอกะนั้นเกิดจากไดเมียวท่านนึงซึ่งไม่สามารถสร้างปราสาทที่มีอาคารหลักขนาดใหญ่ได้เพราะข้อจำกัดของยศ เขาจึงว่าจ้างให้สร้างปราสาทแห่งนี้เพื่อใช้เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของเขตปกครองของเขาพร้อมกับเป็นที่อยู่อาศัยของท่านจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันข้าศึกที่อาจเข้ามาโจมตีได้ การก่อสร้างเริ่มต้นในปี 1863 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1867 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของยุคเอโดะ (1603-1868) การออกแบบเป็นรูปดาวนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากการออกแบบของฝรั่งเศสซึ่งไม่เคยมีในญี่ปุ่นมาก่อน การแทนที่ผนังด้านนอกที่โค้งมนด้วยมุมแหลมของดาวนั้นเป็นการปรับมุมของการยิงปืนใหญ่และอาวุธอื่น ๆ และเพื่อลดจุดบอดให้ศัตรูใช้เป็นที่กำบังได้อีกด้วย

ป้อมปราการนี้ถูกใช้งานอยู่เพียงปีเดียวก่อนโชกุนจะล่มสลายและเกิดความวุ่นวายทางการเมืองครั้งใหญ่ ในท้ายสุดแล้วระบบศักดินาในญี่ปุ่นก็ถึงจุดจบในเวลาต่อมา ในปี 1872 มีการรื้อถอนและย้ายอาคารหลายหลังแต่ มีอาคารหลังดั้งเดิมเหลือเพียงอาคารเดียวที่ยังตั้งอยู่ภายในคูน้ำรูปดาวแห่งนี้ก็คือ ห้องครัวซึ่งในปัจจุบันมีอาคารโรงเรียนประถมสร้างอยู่ร่วมกัน

จุดชมวิว

การเดินเล่นรอบคูน้ำเป็นกิจกรรมที่สนุกเพลิดเพลินโดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิที่มีดอกซากุระบานสะพรั่งเลียบไปกับริมน้ำ แต่ถ้าคุณอยากเห็นขนาดเต็มของป้อมปราการแห่งนี้และอยากถ่ายรูปอาคารทั้งหลังแล้วละก็ เราแนะนำให้คุณเดินห่างออกมาสักนิดและอยู่ในที่สูงขึ้นสักหน่อย โดยหากคุณเดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้คุณเดินตามป่าแคบ ๆ ไปยังจุดชมวิวเล็ก ๆ บนเนินเข้าด้านหลังป้อมปราการเพื่อชมบรรยากาศมุมสูงอันสวยงามจนคุณจะไม่มีวันลืมได้ลง

ชิโอดาไดระมรดกญี่ปุ่น (Shiodadaira Japan Heritage Site)

เจดีย์สามชั้นอันงดงามที่ตั้งอยู่ภายในวัดพุทธเซนซันจิ (Zensanji Buddhist Temple)

ชิโอดาไดระ (Shiodadaira) เป็นที่ราบสูงที่มีขนาดกว้างขวางและตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแม่น้ำชิคุมะในเมืองอุเอะดะ บริเวณนี้อุดมไปด้วยวัด ศาลเจ้า น้ำพุร้อน และมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้จำนวนมาก ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโดดเด่นจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกญี่ปุ่นอีกด้วย ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้บริเวณนี้เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมและประเพณีอันลึกซึ้งของนากาโน่

พื้นที่ชิโอดาไดระ

ภูมิประเทศของนากาโน่ที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขานั้นทำให้เกิดเป็นที่ราบขนาดใหญ่ที่ดึงดูดให้ผู้คนมาเยี่ยมชม ภูเขาเหล่านี้เป็นพรมแดนธรรมชาติที่สร้างเอกลักษณ์และรักษาวัฒนธรรมและประเพณีเอาไว้ สิ่งที่ทำให้ชิโอดาไดระแตกต่างจากที่อื่น ๆ คือ สถานที่และประเพณีที่กำเนิดขึ้นในยุคกลางซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

แหล่งมรดกและมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

ในปี 2020 ชิโอดาไดระได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกญี่ปุ่นโดยมีรายละเอียดอย่างเป็นทางการ ดังต่อไปนี้

ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นในช่วงเช้าของครีษมายันแผ่รังสีเป็นเส้นตรงเชื่อมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย แสงแรกกระทบกับวัดชินาโนะโคคุบันจิ (Shinano Kokubunji Temple) หรือไดนิจิ (Dainichi) (ดวงอาทิตย์มหึมา) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปเนียวไร (Nyorai Buddha) ก่อนจะเดินทางไปยังศาลเจ้าอิคุชิมาตะรุชิมะ(Ikushimatarushima Shrine) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งโลกาและในที่สุด แสงก็ได้เดินทางมาถึงบ่อน้ำพุร้อนเบชโชออนเซ็น (Bessho Onsen) ซึ่งแสงที่สว่างไสวจะตัดกับฉากหลังอย่างภูเขาโอคามิดาเกะ (Okamidake) อันเป็นที่อยู่อาศัยของมังกร อาจกล่าวได้ว่าการเดินทางของแสงสว่างอันน่าอัศจรรย์นี้ได้ตัดผ่านศาลเจ้าและวัดจำนวนมากมาย

นอกจากชิโอดาไดระแล้วก็ยังมีศาลเจ้าและวัดอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งมีความเฉพาะตัวกระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ เช่น วัดชูเซนจิ (Chuzenji Temple) ซึ่งเป็นอาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคชูบุของญี่ปุ่น หรือเซนซันจิ (Zensanji) ที่ตั้งของเจดีย์ 3 ชั้นอันงดงามที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า หรือวัดอันราคุจิ (Anrakuji) วัดเซนที่เก่าแก่ที่สุดของนากาโน่และมีชื่อเสียงจากเจดีย์รูปทรงแปดเหลี่ยม 3 ชั้นและยังเป็นสมบัติประจำชาติอีกด้วย

เรื่องราวที่เกี่ยวกับชิโอดาไดระอีกส่วนที่สำคัญมีจุดกำเนิดมาจากสภาพอากาศในพื้นที่ เมืองอุเอะดะมีฝนน้อยที่สุดในเกาะฮอนชูของญี่ปุ่นจึงเกิดพิธีกรรมขอขมาเทพเจ้าและการขอฝนเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดแคลนน้ำโดยมีการสร้างพิธีกรรม ชุดความเชื่อและประเพณีการขอฝนที่ไม่ซ้ำแบบใครและบางส่วนก็ยังถูกรักษามาจวบจนปัจจุบัน

วัดเซนโคจิ (Zenkoji Temple)

อาคารหลักของวัดเซนโคจิ (Zenkoji Temple) ถูกใช้เป็นพื้นที่สำหรับการเฉลิมฉลองโกไคโช (Gokaicho)

วัดเซนโคจิ (Zenkoji) เป็นจุดหมายปลายทางที่มีชื่อเสียงที่สุดในบทความนี้เพราะเป็นวัดที่ได้รับความนิยมจากผู้คนเป็นอย่างมากซึ่งเป็นผลมาจากการที่วัดมีตำนานและมีความสำคัญทางด้านพุทธศาสนาของประเทศญี่ปุ่นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้โดยความสำคัญนี้ได้รับการยอมรับว่ามีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของนากาโน่อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการเฉลิมฉลองโกไคโช (Gokaicho) ซึ่งจัดทุก ๆ 7 ปี เป็นเวลา 57 วัน สิ่งนี้แสดงให้ถึงพลังและความนิยมอย่างต่อเนื่องของวัดโดยในอดีตมีผู้เข้าชมกิจกรรมเป็นประจำกว่า 6 ล้านคน ที่สำคัญการเฉลิมฉลองโกไคโชครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี 2022

วัดเซนโคจิ

จุดกำเนิดของวัดเซนโคจิมาจากประเทศอินเดียซึ่งเป็นช่วงก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อพระพุทธรูปจากอินเดียเดินทางเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นช่วงกลางศตวรรษที่ 6 และเชื่อกันว่านี่เป็นครั้งแรกที่พุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่ในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

พระพุทธรูปองค์นี้ถูกเปลี่ยนมือไปหลายครั้งในยุคแห่งสงครามก่อนจะกลับมายังชินาโน่ (Shinano) หรือนากาโน่ในปัจจุบันและถูกอัญเชิญมาประดิษฐานอยู่ที่วัดเซนโคจิในปี 642 ในอดีตมีการจัดแสดงพระพุทธรูปเป็นเวลาหลายปีหลังการก่อตั้งวัด แต่ต่อมาก็เก็บซ่อนไม่ให้บุคคลทั่วไปเข้าชมและในปัจจุบันบริเวณจัดแสดงกลายเป็นพื้นที่ที่ห้ามเข้าชมอย่างสมบูรณ์แบบ

ความสำคัญและความน่าสนใจของพระพุทธรูปซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้นั้นทำให้วัดเซนโคจิได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและส่งผลให้ในช่วงสมัยเอโดะ (ช่วงศตวรรษที่ 17) วัดแห่งนี้ได้กลายเป็นเป้าหมายที่ทุกคนจะต้องเดินทางมาสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิต วัดแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เมืองนากาโน่เติบโตและเจริญรุ่งเรืองขึ้นเนื่องจากเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางเพื่อการแสวงบุญ

โกไคโช

ในขณะที่พระพุทธรูปองค์ดั้งเดิมถูกเก็บรักษาและปกปิดเป็นความลับมาหลายพันปีแต่แล้วก็มีองค์จำลองมาจัดแสดงให้ได้ชมซึ่งองค์นี้สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 14 และองค์จำลองนี้จะจัดแสดงให้ประชาชนได้เข้าชมในการเฉลิมฉลองโกไคโชซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 7 ปีเท่านั้น

ช่วงต้นของโกไคโช พระพุทธรูปจะถูกขนย้ายในศาลเจ้าขนาดเล็กไปยังห้องโถงหลัก จากนั้นมีการย้ายไปยังวิหารด้านในสุดโดยนักบวช พระพุทธรูปถูกจัดแสดงจนวันที่ 1 มิถุนายนก่อนจะเก็บกลับมายังห้องประดิษฐานซึ่งพระพุทธรูปจะถูกเก็บอย่างเงียบงันต่อไปเป็นเวลา 7 ปี ระหว่างการเฉลิมฉลองโกไคโช คุณจะได้พบกับกิจกรรมและเทศกาลพิเศษที่จัดร่วมกับการเฉลิมฉลองหลักซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คุณต้องมาลองสัมผัสสักครั้งในชีวิต

กำหนดการจัดงานครั้งต่อไปจะจัดงานระหว่างวันที่ 3 เมษายน 2022 ถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2022 ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมที่นานกว่าปกติประมาณ 1 เดือนเพื่อลดความแออัดของผู้คนภายในงาน

โรงหมักสาเกบนเส้นทาง Nakasendo

โรงหมักสาเกและสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์

มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เข้ากันได้ดีกับอดีต (และปัจจุบัน) ของญี่ปุ่นมากกว่าเหล้าข้าวหมักที่ใสและมีรสสัมผัสอันสดชื่น สาเกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและเป็นส่วนสำคัญในการสร้างประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมากกว่าที่เราคิด ดังนั้น คุณจึงไม่ต้องแปลกใจหากได้พบหลักฐานความเชื่อมโยงระหว่างสาเกและซามูไรโดยความเชื่อมโยงนี้ยังหลงเหลือให้คุณได้ตื่นเต้นและสัมผัสตามเส้นทางโบราณแห่งนากะเซนโด

ส้นทางนากะเซนโดและโมไต ไอโนะ ชูกุ (Motai-aino-shuku)

ช่วงเอโดะ (ปี 1603 ถึง 1868) มีการก่อสร้างทางหลวงสายหลัก 5 สายเพื่อเชื่อมเมืองหลวงใหม่ของเอโดะ (โตเกียว) กับเมืองหลวงเก่าอย่างเกียวโต เราอาจกล่าวได้ว่าสถานีโมไต ไอโนะ ชูกุ (Motai-aino-shuku) เป็นสถานีรถไฟอย่างไม่เป็นทางการบนเส้นทางนากะเซนโดที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตข้าวคุณภาพดีเยี่ยม ด้วยการเข้าถึงแหล่งน้ำบริสุทธิ์อันอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาสูง ข้าวคุณภาพดีและน้ำบริสุทธิ์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในการหมักสาเกรสเลิศ ชาวบ้านของเมืองโมไต (Motai) เริ่มหมักสาเกในช่วงปลายทศวรรษที่ 1600 จากนั้นก็ได้ค่อย ๆ พัฒนาพื้นที่แห่งนี้จนเป็นหนึ่งในภูมิภาคของเส้นทางนากะเซนโดที่มีชื่อเสียงด้านสาเก

โรงหมักสาเกโอซาวะ (Osawa) และโรงหมักสาเกทาเคชิเกะฮอนเกะ (Takeshige-Honke)

เมืองโมไตในปัจจุบันมีโรงหมักสาเกที่มีชื่อเสียง 2 แห่งซึ่งยังคงสืบสานการผลิตสาเกในเส้นทางนากะเซนโดได้แก่ โรงหมักสาเกโอซาวะ (Osawa) และโรงหมักสาเกทาเคชิเกะฮอนเกะ (Takeshige-Honke) ร้านค้าเหล่านี้สร้างความพึงพอใจให้กับชาวบ้านและนักท่องเที่ยวด้วยการเสิร์ฟสาเกที่มีรสชาติกลมกล่อมซับซ้อนจากส่วนผสมที่พวกเขาได้คิดค้นมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ในปัจจุบันมีการนำเสนอแบรนด์เหล่านี้ด้วยสินค้าระดับซิกเนเจอร์อย่างเมอิเคียว ชิซุย (Meikyo Shisui) จากโรงหมักสาเกโอซาวะ และมิโสะโนะทาเกะ (Misonotake) จากโรงหมักสาเกทาเคชิเกะฮอนเกะ คุณสามารถพบสินค้าสองตัวนี้ได้ไกลถึงโอซาก้าและโตเกียวอีกด้วย

ผู้คนที่เดินทางผ่านบริเวณนี้ของเส้นทางนากะเซนโด ไม่ควรพลาดการแวะจิบสาเกหวาน (หรือสาเกเข้มข้น) สักแก้วหรือจะเลือกซื้อสาเกสักขวดเพื่อนำไปดื่มระหว่างการเดินทางที่ยาวไกล เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ผู้ที่เดินทางมาเยือนโรงหมักสาเกควรเคารพและให้ความสำคัญแล้วละก็ ขอให้คุณเคารพถนนและอาคารอันเก่าแก่ของเมืองที่เป็นจุดพักระหว่างทางที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์แบบดั้งเดิมของนากะเซนโด

โรงหมักสาเกเจ้าดังแห่งสุวะ หรือ โกคุระ/สุวะ โกคุระ (Gokura / Suwa Gokura)

ถังหมักสาเกที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าของโรงหมักสาเกไมฮิเมะ (Maihime) หนึ่งในโรงหมักเจ้าดังของสุวะ

พื้นที่สุวะมีประเพณีการหมักสาเกที่ได้รับรางวัลมาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์การเดินชิมสาเกในแบบฉบับของสุวะ โกคุระ (Suwa Gokura) หรือโรงหมักสาเก 5 แห่งที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวซึ่งร้านแรกและร้านสุดท้ายตั้งอยู่ห่างกันเพียง 100 เมตรเท่านั้น!

สุวะและสาเก

พื้นที่รอบ ๆ สุวะมีลักษณะและสภาวะที่เหมาะสมต่อการผลิตสาเกรสเลิศ ซึ่งส่วนที่สำคัญที่สุด คือ น้ำสะอาดจำนวนมหาศาลพร้อมอากาศบริสุทธิ์ที่มาจากภูเขาโดยรอบ นอกจากนี้อุณหภูมิที่เย็นจัดก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้สามารถการหมักสาเกได้ตลอดช่วงฤดูหนาวที่ยาวนาน สุวะตั้งอยู่บริเวณจุดตัดของเส้นทางนากะเซนโดและโคชุ ไคโด (Koshu Kaido) ส่งผลให้เป็นเมืองที่มีคนพลุกพล่านและมีความมั่งคั่งเป็นอย่างมาก มีคำกล่าวว่าในอดีตการหมักสาเกในเมืองสุวะนั้นมีไว้เพื่อมอบสาเกเป็นของบรรณาการให้กับปราสาทที่อยู่ใกล้เคียงและเพื่อถวายแก่ศาลเจ้าสุวะ

สุวะ โกคุระ

ในปัจจุบันประเพณีการหมักสาเกของเมืองสุวะยังคงมีอยู่โดยการนำของกลุ่มโรงหมักสาเกที่น่าภาคภูมิใจทั้ง 5 แห่งซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อสุวะ โกคุระนั่นเอง โรงหมักทั้ง 5 ได้แก่ ไมฮิเมะ (Maihime), เรอิจิน (Reijin), ฮอนคิน (Honkin), โยโคบุเอะ (Yokobue) และมาสุมิ (Masumi) โรงหมักแต่ละแห่งมีประวัติและเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและทั้ง 5 แห่งต่างก็มีตำนานที่ย้อนไปได้กว่า 100 ปีโดยโรงหมักที่เก่าแก่ที่สุดจาก 5 แห่งนี้ คือ ไมฮิเมะ ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1662

โรงหมักสาเกเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้เยี่ยมชมได้ลิ้มลองเปรียบเทียบรสชาติของสาเกประเภทต่าง ๆ และจากความร่วมมือของโรงหมักสาเกทั้ง 5 แห่งในการให้บริการการชิมสาเกนี้จึงเกิดกิจกรรมที่ชื่อว่า “โกคุระ” ที่ผู้เยี่ยมชมสามารถซื้อเซทสำหรับการชิมโกคุระในราคา 2,000 เยนได้ที่โรงหมักสาเกทั้ง 5 แห่งโดยเซทนี้ประกอบไปด้วยกระเป๋าขนาดเล็กของโกคุระซึ่งภายในจะมีแก้วสำหรับการชิมสาเกและบัตรประทับตรา เมื่อคุณแสดงบัตรนี้ที่โรงหมักสาเกใด ๆ ใน 5 แห่งนี้ โรงหมักสาเกแต่ละแห่งจะมอบโอกาสให้คุณได้เลือกชิมและเปรียบเทียบรสชาติของสาเกต่าง ๆ ได้ถึง 5 ประเภท

ถ้าคุณเลือกเดินทางมาที่สุวะในช่วงเทศกาลดื่มสาเกกลางแจ้งในฤดูใบไม้ผลิหรือใบไม้ร่วงที่จัดขึ้นปีละ 2 ครั้งแล้วละก็ คุณจะมีโอกาสได้เพลิดเพลินกับสาเกพร้อมกับลองทานอาหารที่หลากหลายจากร้านอาหารและแผงขายอาหารในพื้นที่ ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดก็ตาม สุวะ โกคุระเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักดื่มที่มีความอยากรู้อยากเห็นและผู้คนที่หลงรักสาเกอย่างสุดหัวใจ

Related Articles Related Articles