| กองบรรณาธิการCentrip

สัมผัสกับยุคเมจิ : สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น และ ญี่ปุ่นในยุคพัฒนา

หมู่บ้านเมจิมุระ : สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมญี่ปุ่นสมัยเมจิ

ตั้งแต่ปี 1639 ประเทศญี่ปุ่นได้ทำการปิดประเทศชั่วคราว ในช่วงนั้นจังหวัดนางาซากิได้ยกเลิกการค้าขายกับจีนและเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ยุโรปกับอเมริกาอยู่ในช่วงปฏิวัติอุตสากรรม ทำให้การค้าและอุตสกรรมพัฒนาอย่างรวดเร็ว ฝั่งตะวันตกจึงเริ่มหาแหล่งตลาดทำการค้าใหม่โดยมุ่งเป้ามาที่ฝั่งประเทศตะวันออกอย่างเอเชีย ญี่ปุ่นถูกกดดันทางการทูตจากหลายๆประเทศ จนถึงปี 1854 ในช่วงเอโดะยุคหลัง อเมริกาได้นำกองเรือนำโดยนายพล Matthew Perry เข้าเทียบท่าที่ญี่ปุ่น การเทียบท่าในครั้งนั้นทำให้เกิดการทำสนธิสัญญาไมตรีระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริก ถือว่าเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การเปิดประเทศอีกครั้งของญี่ปุ่น

ปี ค.ศ.1869 เข้าสู่ยุคเมจิญี่ปุ่นได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้น รัฐบาลยุคนี้ได้เริ่มโปรโมทส่งเสริมนโยบายให้พัฒนาประเทศเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ เปิดรับวัฒนธรรมใหม่จากต่างชาติมากขึ้น แต่ด้วยความที่วัฒนธรรมเหล่านั้นสำหรับญี่ปุ่นแล้วเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ความที่อยากจะซึมซับและเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ญี่ปุ่นจึงได้ทำการเรียนรู้ เลียนแบบสิ่งต่างๆความรู้หลากหลายแขนงต่างๆจากผู้เชี่ยวชาญของฝั่งประเทศตะวันตก ตั้งแต่เรื่องอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆไปจนถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆมากมาย การที่พัฒนาเดินหน้าไปพร้อมๆกันแบบนี้ญี่ปุ่นจึงเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาในประเทศมากขึ้นนั้นเอง ในด้านสถาปัตยกรรม อย่างตึกและทำเนียบของทางการรัฐบาลการถูกเริ่มสร้างและเลียนแบบให้เป็นสไตล์ตะวันตกมากขึ้น อย่างตัวตึกรัฐสภาเองเป็นถูกสร้างสไตล์ตะวันตกเช่นกัน พอเวลาผ่านไแปไม่ใช่แค่ตึกทำการรัฐบาล บ้านเรือนของพลเรือนเองก็เริ่มเลีบนแบบสไตล์ตะวันตก บางที่ก็ผสมผสานระหว่างสไตล์ญี่ปุ่นและตะวันตกเข้าด้วยกัน บางที่ก็ทำห้องๆเดียวในบ้านเป็นแค่สไตล์ตะวันตกก็มี และในหมู่บ้านเมจิมุระแห่งนี้นี่เอง เราได้รวบรวมสถาปัตยกรรมบ้านเรือนในยุคเมจิเอาไว้ด้วยกันมากมาย จากตึกเหล่านั้นจะขอหยิบมาส่วนนึงมาแนะนำให้ทุกคุณได้ทำความรู้จักกัน

บ้านโทมัตสึ

บ้านโทมัตสึนั้น เป็นบ้านร้านค้าที่อยู่ติดแม่น้ำโฮริคาวะในใจกลางเมืองนาโกย่า บ้านหลังสร้างขึ้นด้วยวิธีที่ถูกเรียกว่าวิธีนุริยะซึคุริ(Nuri Yadukuri) เป็นวิธีสร้างบ้านแบบดั้งเดิมตั้งแต่ยุคเอโดะ พอเข้ายุคเมจิก็รีโนเวทถูกครั้งแล้วครั้งเล่า จนเป็นอาคารไม้สามชั้นอย่างที่เห็น บ้านร้านค้าหลังนี้ปัจจุบันถือเป็นมรดกแห่งชาติของญี่ปุ่น ในช่วงยุคเอโดะ การจะสร้างอาคารสามชั้นนั้นหากไม่ใช่คนในตระกูลซามูไรก็จะไม่ได้รับอนุญาต พอปีค.ศ.1919 รัฐบาลก็มีร่างกฏหมายห้ามสร้างอาคารไม้ที่สูงมากกว่าสามชั้นด้วยเช่นกัน กว่าจะเริ่มมีอาคารไม้แบบนี้ในญี่ปุ่นการเพิ่งในช่วง50ปีให้หลังนี้เอง อาคารหลังนี้จะเป็นบ้านที่จากประตูทางเข้า เข้ามาตัวทางเดินข้างนั้นจะมีลักษณะเป็นทางเดินแคบและลึก และยังมีจุดเด่นชั้น2 ชั้น3จะมีทางเล็กๆบันไดติดผนัง และในตัวบ้านจะสว่างจากการเจาะหน้าต่างให้แสงลอดเข้ามาได้ ถืออาคารบุกเบิกของโครงสร้างบ้านอบบใหม่เลยก็ว่าได้ จะมีสต๊าฟศิลปศาสตร์คอยไกด์อยู่ด้วยสำหรับอาคารหลังนี้

บ้านพักต่างอากาศของเจ้าชายคิมโมะชิ ไซอนจิ "ซุวาริ เรียว โซ"

อาคารหลังนี้เป็นบ้านพักตากอากาศของนักการเมืองชื่อดังของญี่ปุ่น เจ้าชายคิมโมะชิ ไซอนชิ และถูกยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอีกแห่งของญี่ปุ่นอีกด้วย หลังจากเจ้าชายคิมโมะชิถอยตัวออกมาจากการเล่นการเมือง เขาก็ได้เดินทางมาจังหวัดชิสุโอกะและสร้างบ้านริมทะเลสาบขึ้นมา ว่ากันว่านี้เขาสร้างบ้านพักหลังนี้จากความคิดที่ว่า "ไม่ได้ทำอะไร สามารถใช้ชีวิตสงบๆสบายๆ นั่งมองปลาว่ายไปมาเรื่อยๆได้ก็พอใจ" จึงเป็นที่มาของชื่อบ้านพัก "ซุวาริ เรียว โซ" หรือ บ้านพักนั่งดูปลา หากเปิดประตูเลื่อนออกมาจากห้องเสื่อทาทามิบนชั้น 2 ก็จะเห็นวิวทะเลสาบ หากมองลงไปก็จะสามารถมองเห็นวิวภูเขาสะท้อนอยู่บนน้ำได้อีกด้วย ชั้น 2 เป็นส่วนที่พิเศษที่ต้องให้ไกด์นำทางให้ ผู้ที่สนใจอยากจะลองชมวิวจากชั้นนี้ก็สามารถเข้าร่วมทัวร์กับไกด์ของที่นี่ได้ สถาปัตยกรรมสไตล์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะใช้ไม้ไผ่ในการสร้าง แต่เจ้าชายคิมโมะชิได้ไปเรียนที่ยุโรปในปีค.ศ.1929 ทำให้เขาจึงได้เรโนเวทและตกแต่งห้องน้ำและห้องบางห้องให้เป็นสไตล์ตะวันตก

คุเระฮาซะ (呉服座)

อาคารแห่งนี้คือ โรงละครเล็กที่ปัจจุบันหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดจากยุคเอโดะ ดั้งเดิมแล้วเป็นอาคารที่อยู่ในเมืองเอเคดะจังหวัดโอซาก้า เป็นอีกหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น โรงละครแห่งที่ไม่ว่าจะเป็น ละครคาบูกิหรือเดี่ยวตลกที่มาเดินการเดินสายตามเมืองต่างๆ หรือจะเป็น ที่จัดแสดงของมัมดะการเล่าเรื่องตลกเชิงเสีดหรือมัมไซการเล่นตลกเป็นคู่ จนไปถึงที่ถึงแม้แต่นักการเมืองฝั่งสังคมนิยมมาทำการปราศศัยกันก็เอามาถูกใช้มาแล้ว ในสมัยนั้นจึงได้ว่าโรงละครแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นโรงละคร ที่เล่นตลก ที่สังสรรค์ของชาวบ้าน หรือแม้กระทั้งแหล่งสื่อสารมวลชนแพร่กระจายข่าว ก็ล้วนแต่มีบทบาทสำคัญในทุกรูปแบบการใช้งานเลยก็ว่าได้ โดยไกด์นำทางของโรงละครแห่งนี้จะนำทางไปตั้งแต่ที่นั่งของผู้ชม บนเวทีของผู้แสดงตลอดจนพาไปด้านหลังเวทีโดยผ่านด้านข้างของตัวเวทีให้

บ้านพักของนักเขียนชื่อดัง โอไก โมริ และ โซเซคิ นัตซึเมะ

บ้านพักหลังนี้แต่เดิมเป็นบ้านของนายแพทย์คาสึโนะ นากาชิม่า ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1887 ในย่านเซนไดกิ เขตบุนเคียว จังหวัดโตเกียว ต่อมาในปี 1890 โอไก โมริ และในปี 1903 ถึง 1906 โซเซคิ นัตสึเมะ นักประพันธ์ชื่อดังก็ได้มาเช่าพักในบ้านหลังนี้ ช่วงเดือนแรกที่คุณโอไกใช้เวลาอยู่ในบ้านพักหลังนี้ เขาได้แต่งนิยายสำหรับเด็กผู้หญิงที่ต่อมากลายเป็นเป็นผลงานดังชื่อ "ไมฮิเมะ" หรือในชื่อแปลไทย "สาวน้อยเริงระบำ" และในขณะที่เขาใช้เวลาพักอยู่ในบ้านหลังนี้ 10 ปีเขาก็ยังออกผลงานอีกมากมาย ต่อจากนั้นคุณโซเซคิได้เข้ามาเช่าบ้านพักหลังนี้แทนและได้ประพันธ์ผลงานที่ดังที่สุดของเขา "วากาไฮ วะ เนโกะ เดอารุ" หรือแปลไทยได้ว่า "ข้าพเจ้าคือแมว" บ้านพักหลังนี้เป็นบ้านพักเก่าแก่ผูกพันธ์กับสองนักประพันธ์ชื่อดังของยุคเมจิเลยก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้นตัวบ้านพักก็เป็นเพียงบ้านพักหลังเล็กๆที่คนชนชั้นกลางอยู่กันในยุคนั้น ความโบราณของตัวบ้านก็ยังเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของที่นี่

โรงฝึกศิลปะป้องกันตัว ของโรงเรียนมัธยมปลายชิโคว "มุเซย์โด"

อาคารแห่งนี้คือโรงฝึกของโรงเรียนรัฐบาลลำดับที่สี่สำหรับนักเรียนมัธยมปลายหรือที่อีกชื่อนึง โรงเรียนชิโควถูกสร้างขึ้นในเมืองคานากาว่าในปี1917 ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกที่โครงสร้างอาคาร พื้น และหลังคาทำมาจากไม้ ที่นี่ถูกใช้ในการฝึกศิลปะการป้องกันตัว 3 อย่างคือยูโด เคนโด้ และการยิงธนู แม้ว่าภายนอกอาคารอาจจะไม่ได้ดูโดดเด่นอะไรมากมาย แต่ที่โรงฝึกยูโด ใต้พื้นโรงฝึกได้ติดตั้งสปริงเอาไว้เพื่อให้ทนทานต่อแรงกระแทก ที่โรงฝึกเคนโด้ก็มีการทำร่องเล็กๆใต้พื้นโรงฝึกเพื่อให้เสียงสะท้อนไปมาและเพื่อให้เสียงเวลาฟันดาบนั้นก้องได้ดี นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเล็กๆอีกมากมายที่สถาปนิกได้สร้างผลงานไว้ที่โรงฝึกแห่งนี้

ส่วนต้อนรับของโรงแรมอิมพีเรียล

ทางเข้าหลักและล็อบบี้ของโรงแรมอิมพีเรียลเป็นผลงานการออกแบบของสถาปนิคชื่อดังระดับโลกชาวอเมริกัน แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ ที่ใช้เวลานานถึง 4 ปีกว่าจะสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ ปัจจุบันตัวอาคารนี้ก็ตั้งอยู่ที่โรงแรมอิมพีเรียลในย่านอุจิไซไวโจว เขตจิโยดะของโตเกียวจริงๆ ภายนอกและภายในอาคารถูกประดับด้วยหินโอยะอิชิ(หินอัคนีชนิดหนึ่ง)และหินจากดินเหนียวเผาที่ถูกตัดเป็นทรงเลขาคณิตต่างๆ ฮิคาริ โนะ คาโกะบาชิระหรือเสาหินที่มีลวดลายเป็นช่องไฟสี่เหลี่ยมของที่นี่มีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ระเบียงชั้นสองมีมุมชากาแฟที่สามารถนั่งจิบชาและดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมอันมีเอกลักษณ์ของแฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ได้

สัมผัสเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของเมืองอินุยาม่าที่จุดต่างๆในเมืองปราสาทโจวกะมาจิ

ดอนเด็นคัง

"งานเทศกาลอินุยาม่า" ถูกลงทะเบียนให้เป็นเทศกาลพื้นบ้านที่สำคัญของญี่ปุ่นและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้จากยูเนสโกอีกด้วย ในเทศกาลนี้จะมีมีการแห่ขบวนรถไม้หรือที่ชาวอินุยาม่าเรียกกันว่ายามะ(車山) โดยจากขบวนแห่ทั้งหมด 13 คัน ที่นี่จัดแสดงยามะทั้งหมด 4 คัน ในส่วนพื้นจัดแสดงจะมีป้ายคำอธิบายพร้อมกับเสียงและแสงที่เลียนแบบบรรยากาศจริงของวันงานเทศกาลอินุยาม่า หากขึ้นไปชั้นสองของอาคารจัดแสดงก็จะสามารถมองลงมาชมรถไม้ได้ และหากขึ้นไปชั้นสามก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงความใหญ่ของตัวรถไม้ของจริงที่มีความสูงกว่า 8 เมตร นอกจากนี้บริเวณทางเข้าอาคารชั้นหนึ่งยังมีห้องญี่ปุ่นอยู่ที่สามารถนั่งพักเหนื่อยและลองเล่นตุ๊กตาญี่ปุ่นคะระคุริเล่นได้อีกด้วย

ร้านอาหารโควมิซะโรว จูเฮียวยา (壽俵屋 犬山井上邸)

ร้านของดองชื่อดังของนาโกย่า สามารถลิ้มลองของดองที่เรียกว่าโมริซึเคะกับนาระซึเคะได้ที่นี่ ร้านนี้อยู่ห่างจากสถานีอินุยาม่าประมาณ 10 นาทีเดินเท้า หัวไชเท้าดองโมริซึเคะเป็นของดั้งเดิมของเมืองฟูโซวมาจิ เมืองใกล้อินุยาม่า หัวไชเท้าดองนี้ทำจากหัวไชเท้าโมจิกุจิซึ่งเป็นหัวไชเท้าที่เรียวยาวที่สุดในโลก(บางหัวยาวเกิน 1 เมตร) โดยนำหัวไชเท้าทั้งหัวไปดองด้วยกากเหล้าญี่ปุ่นและมิรินจนรสเข้าเนื้อ นาระซึเคะก็เป็นของดองที่ถูกหมักด้วยกากที่ได้จากการทำเหล้าญี่ปุ่นเช่นกัน โดยจะใช้บวบ หัวไชเท้า เปลือกแตงโมแตงกวาญี่ปุ่นหรือผักประเภทอื่นมาหมักด้วยวิธีการเดียวกัน บางที่ใช้เนื้อหรือปลาเอาไปหมักด้วย กลิ่นและรสอูมามิคือจุดเด่นเฉพาะตัว
นอกจากนี้อาหารกลางวันที่แนะนำของทางร้านคือ "จูเฮียวยะ โกะฮัน" (壽俵屋ごはん) อาหารชุดนี้จะประกอบด้วยปลาแซลมอนหรือปลาตามฤดูกาลหมักด้วยกากสาเก เครื่องเคียง2ชนิด ข้าวและซุปมิโซะ เรียกได้ว่าเป็นอาหารญี่ปุ่นชุดเพื่อสุขภาพ ราคาอาหาร หากเป็นอาหารชุดปลาแซลมอนจะราคา 1,320 เยน ส่วนปลาตามฤดูกาลจะอยู่ที่ 1,420 เยนหรือต่างกันไป ลิ้มลองปลาย่างหอมๆ เนื้อช่ำๆ ไปพร้อมกับเครื่องเคียงของดองโมริซึเคะกับนาราซึเคะที่มีกลิ่นและรสอูมามิเฉพาะตัวได้ในอาหารชุดนี้

แต่ถ้าอยากจะทานอะไรง่ายๆ อาหารแนะนำจะเป็นของเสียบไม้ย่างซอสโชยุในราคา160เยน เพลิดเพลินไปกับข้าวปั้นย่างซอสโชวยุขนาดพอดีคำและของดองที่เสียบอยู่ในไม้เดียวกัน หากคุณโชคดีก็จะได้ไม้ที่เสียบข้าวปั้นเป็นรูปหัวใจน่ารักๆไว้ได้อีกด้วย ตัวข้าวปั้นเสียบไม้ย่างถูกย่างเข้ารสจนอร่อยและยังมีรสสัมผัสดี เหมาะแก่การกินเติมท้องในเวลาที่หิวไม่มาก หากคุณติดใจของดองเหล่าสามารถซื้อได้ที่ร้าน ของดองนั้นเป็นของที่สามารถเก็บไว้ทานได้นานๆ จึงไม่ต้องสนใจเรื่องวันหมดอายุ ทำให้สามารถนำไปเป็นของฝากที่ดีได้เช่นกัน สินค้าทั้งหมดในร้านสามารถลองชิมได้ ทางร้านยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ลูกค้าจะซื้อของไปชิมไปเวลาอยู่ในร้าน

สรุป

ข้ามเวลาไปอยู่ในยุคเมจิหรือยุคพัฒนาประเทศของญี่ปุ่นได้ที่เมจิมุระ และสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ที่โจวกะมะจิหรือเมืองบริเวณปราสาทของอินุยาม่า เดินจากสถานีอินุยาม่า 10 นาทีถึงโจวกะมะจิ จะแวะรับประทานอาหารเติมท้องก่อนไปเที่ยวเมจิมุระ รับประทานอาหารหลังจากไปเที่ยวเมจิมุระ หรือมาช็อปปิ้งที่นี่ก็ได้ อาคารบ้านเรือนที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนมีความRetroและModernที่ผสมกันอยู่ มาลองสัมผัสเพลิดเพลินกับวัฒนธรรมต่างๆของญี่ปุ่นที่เมืองอินุยาม่ากันเถอะ

Sponsored by THE MUSEUM MEIJI-MURA

Related Articles Related Articles