| Hannah Tsai

ไปชมทะเลที่อิสุอะตะมิกัน!ใช้บัตรพาสใบเดียวเที่ยวได้เต็มอิ่มตลอด1วัน2คืน-2

【วันถัดไป】10:00ศาลเจ้าอิทสึซัง

วันนี้ก็ใช้ตั๋วยุยูพัสอีกครั้งค่ะ โดยสามารถไปที่ศาลเจ้าได้โดยขึ้นรถบัสเบอร์ 5 ไปยังป้ายอิสึซังจินจา ใช้เวลาประมาณ 7 นาที

ศาลเจ้าอิทสึซัง เป็นศาลเจ้าที่มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับความเป็นมาของชื่ออิทสึและความสำคัญที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานระหว่าง มินะโนโมะโตะโนะโยะริโตะโมะ โชกุนของคะมะคุระบะคุฟุกับโฮโจมะซะโกะ ทำให้ศาลเจี้เป็นที่เลื่องลือในการขอพรด้านความรัก

ที่บริเวณ“โจสึยะ(สถานที่ใช้ล้างมือก่อนเข้าไปในศาล)」มีมังกรขาวแดงเป็นผู้ปล่อยน้ำ!

ใต้คำว่าอิทสึซังมีมังกรขากับแดงซ่อนตัวอยู่ โดยมังกรสีแดงจะเป็นตัวแทนแห่งไฟ และมังกรสีขาวเป็นตัวแห่งน้ำ ว่ากันว่าด้วยพลังของ 2 มังกรนี้ ทำให้ธุกิจอนเซ็งก็ลื่นไหล โชคก็จะดีขึ้น เสริมดวงชะตา อีกทั้งยังป้องกันภัยอันตรายจากภัยพิบัติได้ด้วย ที่แผ่นได้เขียนคำขอพร (เอะมะ)หรือที่แผนที่ก็จะมีรูปของมังกรสองสีนี้อยู่ด้วย

เมื่อมาถึงตึกหลักของศาลเจ้าที่เป็นสีแดงส้ม หากมองไปที่ใต้หลังคาก็จะได้พบกับงานไม้แกะสลักอย่างปรานีต บ่งบอกถึงความสง่างามของศาลเจ้านี้
ที่หน้าศาลเจ้ามี “จิโนะวะ” อยู่ ว่ากันว่าหากได้เดินข้าม “จิโนะวะ” 3 ครั้ง จะถือเป็นการสะเดาะเคราะห์

สมกับความเป็นศาลเจ้าแห่งความรัก!เพราะเครื่องลางของที่ศาลเจ้าอิทสึซังมีรูปหัวใจและดวงดาวติดอยู่!

ที่สิ่งก่อสร้างของศาลเจ้านี้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเจอรูปหัวใจเต็มไปหมด แต่ไม่ใช่ว่าทำมาเพราะอยากให้ที่นี่เป็นที่นิยมหรอกนะคะ แต่เป็นรูปร่างของ “ตาของหมูป่า” ต่างหาก ซึ่งหลายคนมองไปมองมาก็เห็นเป็นรูปหัวใจเป็นเพราะมันเป็นรูป “ดวงตาของหมูป่า”ที่โดนแบ่งอย่างมาเป็นท่อน ๆ นั่นเอง โดยมีความหนายนัย ๆ ว่าให้ดวงตาคอยสอดส่องสัตว์ร้าย ป้องกันมนต์ ปัดเป่าสิ่งไม่ดี และป้องกันไฟไหม้นั่นเอง มาลองดูสิว่า คุณจะหารูปหัวใจเจอทั้งหมดกี่ดวง

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าหากเดินขึ้นเนินเขาหลังศาลเจ้าจะเจอ “ศาลเจ้าชิระยะมะ” จะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งอยู่ห่างจากศาลเจ้า “ฮมมิยะ” ศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ประมาณ 45 นาที ด้วยการเดิน หากไม่มีเวลา จะส่งจิตกราบนมัสการจากที่ศาลเจ้าชิระยะมะก็ได้

ที่ศาลเจ้าอิทสึซังมีสถานที่พักผ่อน ซึ่งมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 170 เมตร ซึ่งคุณสามรถพักผ่อนพร้อมชมทิวทัศน์ของอ่าวซะกะมิและทะเลอันเงียบสงบไปพร้อม ๆ กันได้

12:00ย่านการค้า

ที่หน้าสถานีอะตะมิมีย่านการค้า2แห่ง คือย่านการค้านะกะมิเสะ、ย่านการค้าเฮวะโดริ มีร้านต่าง ๆ มากมาย ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขนม และร้านขายของฝาก และแน่นอนว่าถ้ามาที่นี่แล้วสามารถซื้อของฝากชื่อดังของอะตะมิอย่าง “อนเซ็งมันจู” หรือเท็มปุระจากร้านดังที่คิวแน่นตลอดอย่าง “มะรุเต็ง” ก็มี

มาถึงอะตะมิแล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้แน่ ๆ คงจะเป็นของทะเล โดยเพาะอย่างยิ่งปลาคินเมะได อาหารชื่อดังของอิทสึ
ในครั้งนี้ เราเลือก “ร้านอาหารญี่ปุ่น โคบายาชิ”โดยสั่งคอร์ส “ทสึบากิเซ็น”(ราคารวมภาษี 2300 เยน) ในเซ็ทมีทั้งซาชิมิ ปลาคิมเมะไดนึ่งซอส ของทะเล ผัก ผลไม้ ไอศครีมและอื่น ๆอีกมากมาย ทานเข้าไปคำแรกก็สัมผัสได้ถึงความสดของวัตุดิบเลยล่ะค่ะ เรียกได้ว่าดีทั้งคุณภาพและราคาจริง ๆ

13:30ปราสาทอะตะมิ

หากลงที่สถานี “อะตะมิโจว” คุณก็จะได้เจอกับ 3 สถานที่ท่องเที่ยวอย่าง พิพิธภัณฑ์สำหรับผู้ใหญ่อะตะมิฮิโฮคัง,ปราสาทอะตะมิและAtami Trick Art Museumสำหรับปราสาทอะตะมิจะตั้งอยู่บนภูเขา ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ของเมืองอะตะมิอนเซ็งได้ แม้จะไม่ได้ไปในปราสาท แค่ชมวิวก็คุ้มแล้วค่ะ

”ปราสาทอะตะมิ” ไม่ใช่ปราสาทที่มีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ แต่เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นมาเพื่อการท่องเที่ยว ภายในปราสาทมีการจัดแสดงดาบญี่ปุ่น ชุดเกราะโบราณ จดหมายเหตุของนักรบ ภาพวาดแบบญี่ปุ่นโบราณ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีมุมกิจกรรมเวิร์คชอปให้คุณได้ลองแปลงโฉมคนจากยุคเอโดะอีกด้วย ถือเป็นอีกสถานที่ที่ถ้ามาเป็นครอบครัวน่าจะสนุกไปอีกแบบ

ที่Atami Trick Art Museumจะมีการจัดแสดงภาพแบบ2Dแต่ถ่ายออกมาเหมือนภาพ 3Dเช่น ภาพที่ดูเหมือนกอริลล่าจับเราเป็นตัวประกัน ภาพที่มีเหมือนเราตกไปในหลุม

“พิพิธภัณฑ์สำหรับผู้ใหญ่อะตะมิฮิโฮคัง” ไม่ใช่สถานที่ที่สามารถไปได้ทั้งครอบครัวเนื่องจากเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศ ในสมัยโชวะ ที่นี่เฟื่องฟูมากเรื่องอนเซ็ง และร้านบริการทางเพศต่าง ๆ และหลังจากนั้นถูกสั่งปิด เหลือเพียงพิพิธภัณฑ์สำหรับผู้ใหญ่เท่านั้นที่ยังคงอยู่、มาชมสีสีอันแสบสันและของต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนที่ไหน (เช่น คำเสี่ยงทายจากเวทมนต์,รูน่าสงสัย) สัญลักษณ์บ่งบอกเพศที่ผู้หญิงเห็นแล้วอาจจะต้องเขิน มั่นใจเลยค่ะว่าในพิพิธภัณฑ์ที่คุณเคยไปมา ไม่มีที่ไหนแปลกเท่าที่นี่
ข้อควรระวัง:อายุต่ำกว่า18ปี ไม่อนุญาตให้เข้า

16:00คิอุงคะคุ

-พอขึ้นรถยุยูบัสมาถึงที่ “ประตูทิศตะวันออกคิอุงคะคุ”แล้ว คุณก็จะได้ “คิอุงคะคุ”พบกับ 1 ใน 3 บ้านพักตากอากาศสุดหรูของอะตะมิ พร้อมแล้วก็เข้าไปดูกันเลย!

คิอุงคะคุเปิดให้บริการครั้งแรกในปีค.ศ. 1919 เมื่อก่อนที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดยอุจิดะ เศรษฐีผู้มีอำนาจทางการเงินโดยสร้างขึ้นเพื่อมารดาผู้ที่มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมากนักได้พักผ่อนหย่อนใจ หลังจากนั้นที่นี่ผ่านการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง จนกลายมาเป็นเรียวคัง จนในที่สุดที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของอะตะมิที่ดีรับความนิยมแห่งหนึ่ง
เป็นสถานที่ที่คุณสามารถชมความหรูหรากับความคลาสสิคของยุคโชวะไปพร้อม ๆ กันได้ เป็นตึกที่ผสมผสานสไตล์ยุโรป ญี่ปุ่น และจีนไว้อย่างลงตัวและมีเอกลักษณ์ ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามทั้งในด้านของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและการก่อสร้าง

ข้างในมีแผนที่ที่เขียนด้วยภาษาจีน หากไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น ก็ลองถามหาแผนที่ภาษาอื่น ๆ กับพนักงานดูนะคะ

ต่อจากนี้ไปเราขอแนะนำห้องที่ต้องดูให้ได้ในคิอุงคะคุ
เรามาเริ่มกันที่ “คิง・โฮ” อาคารสไตล์ญี่ปุ่น ห้องอาจดูเรียบง่าย แต่มีเพดานที่สูง และจากที่ห้องสามารถมองเนสวนนได้ 3 ด้าน ให้คุณได้เสพบรรยากาศแบบเก่าเพียงแค่ได้ชม แก้วใสที่ดูบิดเบี้ยวที่มองไปก็ดูจะเป็นแก้วธรรมดา ๆ แต่ที่จริงแล้วนี่คือแก้วทำมือจากช่างฝีมือใยยุคไทโช เรียกว่า “แก้วไทโช” เรียกได้ว่าใครเผลอทำแก้วนี้แตกล่ะก็ หามาใชคืไม่ได้เลยล่ะค่ะ

“ทะมะฮิโตะ ”อาคารสไตล์ตะวันตกที่ผสมผสานสไตล์ยุโรปและตัวันตกเอาไว้อย่างลงตัว และมีของจัดแสดงอยู่มากมาย เช่น เตาผิง กระจกสี โซฟา ฯลฯ

แต่ว่าเมื่อมองขึ้นไปบนเพดาน คุณจะพบกับเพดานสไตล์ศาลเจ้าญี่ปุ่น งานสลักไม้ที่เห็นก็จะเป็นสไตล์จีน ทุกอย่างดูเข้ากันได้อย่างลงตัว

อาคารสไตล์ตะวันตก “กโยคุเค” มีบรรยากาศแบบยุโรปในสมัยอังกฤษยุคกลาง ข้างเตาผิงสลักด้วยภาษาสันสกฤต และที่ข้าง ๆ นั้นมีเสาแบบที่เราสามารถเห็นได้ในศาลเจ้าญี่ปุ่น

อาคารสไตล์ตะวันตก「คิงโก」มีห้องสุดหรูหราและมีอ่างอาบน้ำสุดโรแมนติค

นักเขียนนิยายชื่อดังอย่าง “ดะไซ โฮซะมุ” และ “มิชิมะยุคิโอะ” นั้น เคยเข้าร่วมคณะรัฐมตรีในอดีต มาลองนั่งที่นั่งเดียวกันกับที่นักเขียนนิยายชื่อดังเคยนั่งและชมทิวทศน์ของสวนแบบเดียวกับที่นักเขียนนิยายเคยดูกันเถอะ

หากมีตั๋วคิอุงคะคุล่ะก็ สามารถเข้าไปชมในส่วนของสวนญี่ปุ่นที่เจ้าของบ้านเป็นคนจัดไว้ได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ในสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้นี้ มีหินยักษ์ขนาด 20 ตัน อยู่ ว่ากันว่าตอนจะย้ายินมาที่นี่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญกว่า 20 คน และใช้เวลากว่า 2 เดือน จึงจะสำเร็จ

สรุป

จะเป็นเมืองใหญ่ที่คึกคักอย่างโตเกียวหรือนาโกย่าก็ไม่ใช่ จะเป็นเมืองเก่าอย่างเกียวโตหรือคานาซาว่าก็ไม่เชิง เรียกได้ว่าอะตะมิเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชายหาดที่ทำให้เราย้อนึกถึงวันวาน ย่านขายของกลิ่นอายยุคโชวะ อาหารทะเลที่สดสุด ๆ และอนเซ็ง ต่างก็ช่วยเติมเต็มร่างกายและจิตใจของคุณจนเต็มเปี่ยม ศาลเจ้าที่ปกติแล้วจะดูเป็นศาลเจ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรม แต่ศาลเจ้าที่นี่ไม่เหมือนที่ไหน มาใช้เวลา 1 – 2 วันของคุณได้ที่นี่ ปล่อยใจไปกับคลื่นทะเลและหาดทรายกันเถอะ

Related Articles Related Articles