| ครบเครื่องเรื่องญี่ปุ่น

ปักหมุดเที่ยวน่าไป ในภูมิภาคชูบุ ตามรอย โชกุน นินจา ซามูไร เดินทางง่าย ๆ จากสนามบินชูบุ เซ็นแทรร์

Magomejuku (馬籠宿) หมู่บ้านโบรานทางผ่านซามูไร

หมู่บ้านโบราณ Magomejuku (馬籠宿) ที่ตั้งเรียงรายบนเนินเขา ที่ Nakasendo ในจังหวัด Nagano หนึ่งในเส้นทางซามูไร ที่เชื่อมระหว่างเอโดะ (โตเกียว) กับ เกียวโต สร้างในช่วงปี 1603 - 1868) ในสมัยนั้นหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่พักแรมระหว่างทางและเป็น 1 ใน 5 ถนนสายหลักที่เชื่อมจาก Nihonbashi ในโตเกียวด้วยค่ะ

ที่เมืองนี้มีกังหันน้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้าด้วยนะคะ มีคลองที่น้ำใสมาก เป็นคลองเล็ก ๆ เวลาเดินก็จะได้ยินเสียงน้ำไหลตลอดสองข้างทาง เห็นต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้สดชื่นมาก ๆ

ถ้าวันอากาศดี ๆ ที่นี่คงจะสวยไม่น้อยเลยค่ะ เสียดายวันที่ไปเจอพายุฝนฟ้าเลยมัวหม่น ถ้ามีโอกาสต้องกลับไปเที่ยวซ้ำแน่นอนค่ะ

ย่านนี้เค้าเด่นเรื่องไม้ มองไปทางไหนก็จะเจอแต่ไม้ แม้แต่ที่นั่งก็ยังนำท่อนไม้มาทำ เหลือบไปเห็นตู้ไปรษณีย์ที่ที่มีความโบราณมาก ๆ นำมาติดตั้งหน้าบ้านก็ไม่ทำให้ภูมิทัศน์ของย่านนี้ดูแปลกตาไปเลย ยิ่งทำให้บรรยากาศดูคลาสสิคมาก ๆ ค่ะ

นอกจากนี้ก็จะมีสินค้าที่ทำจากไม้ฮิโนกิขาย เช่น ช้อน ส้อม เขียงฯลฯ และงานสานที่ทำจากไม้เป็นหลักโดยเฉพาะหมวกทรงมุงหลังคาให้ความรู้สึกย้อนยุคและคลาสสิคมาก ๆ เลยค่ะ

ส่วนของกินก็มีหลายอย่าง เช่น โอยากิ คล้ายซาลาเปาด้านในมีหลายหลายไส้เช่น ผัก, ถั่วแดง ฯลฯ แล้วนำมาย่าง , เกาลัดก็ขึ้นชื่อ เซมเบ้ย่างร้อน ๆ ห่อสาหร่าย ก็อร่อยเลย โซบะที่นี่ก็ดีงามนะคะ อย่างที่บอก น้ำดี ก็เลยทำให้เส้นโซบะอร่อยด้วย (เค้าว่ามาอย่างนั้นค่ะ)

เริ่มตกหลุมรักเมืองนี้เข้าให้แล้ว ถ้ามีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนอีกเมื่อไหร่ เมืองนี้จะเป็นหนึ่งในลิสต์การเดินทางอย่างแน่นอนค่ะ

วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ JR Nakatsugawa Station ต่อรถบัส Kitaena bus Magome Line นั่งมาลงที่ป้ายมาโกเมะ (Magome)
พิกัดจาก Google map :

Matsumoto Castle

Matsumoto Castle ปราสาทอีกาดำ ยืนหนึ่งเรื่องความงดงามสมบัติของชาติญี่ปุ่น

Matsumoto Castle (松本城) หรือปราสาทอีกาดำ Crow Castle" (烏城, Karasu-jō) ปราสาทที่ยังคงความดั้งเดิมเอาไว้ ที่สร้างขึ้นในปี 1592 โดยใช้ไม้ในการสร้างและไม่ใช้ตะปูเลยสักตัวเดียว ตัวปราสาทมีสีดำ จึงได้รับสมญานามว่า ปราสาทอีกาดำปัจจุบันอายุกว่า 400 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงความงดงามเอาไว้จนได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติ ตัวปราสาทถือว่าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น

ภายในปราสาท เปิดให้เข้าไปชมได้ ด้านบนปราสาทบริเวณชั้น 5 จะมองเห็นวิวเมืองนากาโนะได้รอบทั้ง 4 ทิศ ซึ่งในสมัยก่อนเป็นจุดที่แม่ทัพใช้ดูศัตรูและถ้าวันฟ้าใสก็จะได้เห็นเทือกเขาแอลป์เป็นฉากหลังด้วย หากมองลงมายังบริเวณด้านหน้าของปราสาทเราจะเห็นพื้นที่ว่างที่มีเส้นแบ่งเป็นช่อง ๆ บริเวณนั้นในสมัยก่อนเคยเป็นบ้านของขุนนาง ซามูไร ยศสูงยิ่งใกล้ชิดกับไดเมียวมากเท่าไหร่บ้านก็จะอยู่ใกล้ปราสาทมากเท่านั้น

ถ้าขึ้นไปยังบนชั้นสูงสุดของปราสาทแล้ว ภายในปราสาทบนเพดานจะมีศาลเจ้าเล็ก ๆ ของเทพเจ้าที่มีชื่อว่า nijurokku yashin เทพเจ้าที่ทำการปกป้องปราสาท

รูปปั้นปลาที่อยู่บนจั่วหลังคา มีความเชื่อว่า ปลาเป็นสัตว์มงคลที่จะช่วยปกป้องปราสาทไม่ให้เกิดไฟไหม้ เพราะปลาอยู่ในน้ำ น้ำจะช่วยป้องกันปราสาทจะไฟได้

ถ้าอยากเห็นภาพจำลองแบบ VR สามารถดาวน์โหลด QR Code แล้วเดินชมรอบปราสาท จะยิ่งสนุกเหมือนย้อนเวลาไปในอดีตได้เลยค่ะ

จุดถ่ายรูปอยู่บริเวณด้านข้างปราสาทที่จะมีสะพานสีแดง ขับกับสีดำของตัวปราสาทยิ่งทำให้สวยงามมาก ๆ เลยทีเดียวค่ะ ถ่ายรูปเดียวไม่เคยพอ จัดไปหลาย ๆ รูปเลยค่ะ

หากเพื่อน ๆ โชคดีจะได้พบกับท่านซามูไรที่คอยออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งท่านซามูไร ท่านนี้เป็นหลานชายของท่านโชกุนโทกุกาว่า อิเอยาสุ แต่แค่แอคติ้งเท่านั้นนะคะ อย่าเข้าใจผิดเหมือนพวกเรา หุหุ

ไม่ว่าจะถ่ายมุมไหน ปราสาทอีกาดำ ก็ยังคงสวยสมกับเป็นมรดกของชาติญี่ปุ่นเสมอ

ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ 700 เยน / เด็กประถม - มัธยมต้น 300 เยน / เด็กไม่ถึงชั้นประถมเข้าฟรี
เวลาทำการปกติ : 8:30 - 17:00 (เข้าได้ภายใน 16:30)
การเดินทาง: ลงรถไฟที่สถานี Matsumoto เดินต่อ 15 นาที
พิกัด google map :

IGA RYU NINJA MUSEUM

ถ้ามาเยือนจังหวัด Mie ต้องห้ามพลาดหมู่บ้านนินจา Iga Ryu Ninja Museum หรือที่รู้จักกันในชื่อ “พิพิธภัณฑ์นินจา IGA” ตั้งอยู่เมือง IGA ในจังหวัด Mie เพราะเมืองนี้ถือเป็นถิ่นกำเนิดของเหล่านินจาในช่วงศตวรรษที่ 15 เมือง IGA เคยเป็นสถานที่สอนวิชานินจามาก่อน อาจจะเรียกได้ว่าที่นี่เป็นบ้านเกิดของนินจาในตระกูล IGA ก็ได้

คำว่า “นินจา” เชื่อว่ามีการใช้มาประมาณ 800 ปีก่อน ซึ่งหมายถึงบุคคลที่อยู่ในภูเขาและฝึกฝนวิชา นินจุตสุ ซึ่งเป็นวิชาที่เกี่ยวกับการต่อสู้ การขโมย และการซ่อนตัว พราวตัว หรือล่องหน ที่หลายๆคนอาจเห็นเห็นกันอยู่บ้างตามหนังหรือการ์ตูน นินจาได้แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลักๆ ก็คือ IGA และ KOKA ในจังหวัด Shiga ซึ่งที่เรามาชมกันอยู่ในจังหวัด Mie นั้นเป็นนินจาฝ่าย IGA ค่ะ

ใครที่อยากเห็นความเป็นนินจาขนานแท้แนะนำให้มาที่นี่เลย ภายในพิพิธภัณฑ์ มีการจัดแสดงที่น่าสนใจหลายอย่างรวมถึงการแสดงด้วยทักษะการใช้อาวุธ วิถีนินจา เล่นจริง แสดงจริง แบบนินจา ผู้แสดงมีการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เป็นโชว์ที่สนุก และตื่นตาตื่นใจมาก ๆ เลยค่ะ

เพื่อน ๆ อย่าลืมไปลองหัดท่าขอบคุณสไตล์นินจากันนะคะ อปลุงฝึกไปล่วงหน้าเพื่อจะได้ทำท่าขอบคุณกับนินจา

ภายในประกอบด้วยบ้านพักอาศัยของนินจาในอดีต ที่มีการซ่อนกล มุมลับ ๆ เอาไว้เยอะมาก ทั้งกำแพงที่หมุนเปิดประตูได้ ผนังบันได ห้องใต้หลังคา ห้องใต้ดิน โซนแอบฟังบนฝ้า แถมยังมีจุดซ่อนอาวุธ เผื่อว่าใครจะนำไปเป็นไอเดียสร้างบ้าน สร้างห้องลับแบบนินจาก็มาชมกันได้ค่ะ

* ปล.ช่วงที่พวกเราไปโซนบ้านพักปิดไม่ให้เข้าชม แต่ทางเราทำการขออนุญาตเพื่อเข้าไปถ่ายภาพไว้ล่วงหน้า ถ้าเหตุการณ์โควิด 19 กลับมาดีขึ้นเมื่อไหร่ในโซนบ้านพักนินจาก็จะเปิดให้ชมตามปกติค่ะ

ต่อจากบ้านพักก็จะเป็นในส่วนของห้องแสดงนิทรรศการ สำหรับจัดแสดงอาวุธ และวัตถุสิ่งของต่างๆที่เกี่ยวกับการเป็นนินจา รวมไปถึงงานเขียนในยุคโบราณ และเรายังได้รู้เกี่ยวกับวิถีนินจาที่ถือปฏิบัติกัน 5 ข้อคือ

1. นินจาต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และห้ามอ้วนเดี๋ยววิ่งไม่ได้ กระโดดไม่ได้
2. นินจาต้องรักษาความสะอาดเพราะถ้าสกปรกจะมีกลิ่นตัว เวลาพรางตัวศัตรูจะได้กลิ่น อาจจะต้องงดการกิน พืช ผัก และเนื้อสัตรบางชนิดที่มีกลิ่นแรง
3. นินจาต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับ ยา สมุนไพรต่าง ๆ เพื่อเอาไว้รักษาตนเองและช่วยเหลือผู้อื่น
4.นินจาต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง มีเป้าหมายชัดเจนและมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ
5.นินจาต้องมีร่างกายที่แข็งแรง การดูแลร่างกายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า อาวุธต่าง ๆ ที่นินจาใช้จริง ในยุคนั้น

ใครอยากติดตามเรื่องราวของนินจา คุณ Tomonosuke ก็ไปติดตามได้นะคะ สแกน QR Code ได้เลย ตามในภาพค่ะ

เนื่องจากพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ Ueno เราจะได้ชมทั้งปราสาท และนินจาไปในคราวเดียวกัน ซึ่งจะมีปราสาท IGA UENO CASTLE เป็นปราสาทที่จัดว่ากำแพงสูงสุดในญี่ปุ่นเพราะป้องกันการปีนเข้าโจมตี แต่ตัวปราสาทปัจจุบันได้ทำการสร้างขึ้นใหม่ในดีไซน์เดิม ส่วนหินฐานนั้นเป็นหินดั้งเดิม

กำแพงหินที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอชะโงกหน้าลงไปมองเท่านั้น โอ้โห สูงจริง สมคำร่ำลือเลยค่ะ

เวลาทำการ : 9:00น. - 17:00 น. * เข้าชมรอบสุดท้ายก่อนเวลาปิด 30 นาที
เวลาแสดงโชว์นินจา : 11:00 - 15:00 (มีโชว์ทุก ๆ ชั่วโมง **แนะนำควรเช็กรอบการแสดงจากเว็บไซต์ก่อน)
วันปิดทำการ : ทุกวันอังคารของปลายเดือนมีนาคม – พฤศจิกายน และวันเสาร์ - อาทิตย์ของเดือนธันวาคม – ปลายเดือนมีนาคม (ยกเว้นวันหยุดราชการ) และปิด 29 ธันวาคม - 1 มกราคม
ค่าเข้าชม: เข้าชมพิพิธภัณฑ์นินจา ผู้ใหญ 800 เยน เด็ก 500 เยน
ค่าชมการแสดงโชว์นินจา 500 เยน
การเดินทาง : ลงรถไฟที่สถานี Uenoshi Station เดินไปทางทิศเหนือ 10 นาที
เว็บไซต์ :
Youtube : Ashura TV หรือกดติดตามที่ลิงก์นี้ได้เลย
พิกัดจาก google map :

Takayama

เมืองทาคายามะ (Takayama) เมืองเก่าแก่ของญี่ปุ่นที่ได้รับวัฒนธรรมจากเกียวโต ที่ผสมผสานกับยุคเอโดะ ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาฮิดะ ที่ยังคงหลงเหลือบรรยากาศของญี่ปุ่นในสมัยเก่า มีบ้านเรือนและร้านค้าตั้งแต่ในอดีตซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเรียงรายกันอย่างสวยงาม โซนเมืองเก่าถ้าเราสังเกตกันดี ๆ ก็แทบจะไม่เห็นสายไฟห้อยระโยงระยาง จึงทำให้ถนนหนทางแห่งนี้ มีกลิ่นอายความคลาสสิค ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ของประวัติศาสตร์อันยาวนาน

ตลาดเช้ามิยะกะวะ (Miyagawa Morning Market)

เป็นไฮไลท์ของคนที่ตื่นเช้า แนะนำให้แวะมาเดินที่นี่ เพราะมีร้านค้าที่ตั้งแผงอยู่ริมทางกว่า 60 ร้าน เป็นระยะทาง 350 เมตร ที่จะจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น เราสามารถเลือกเดินซื้อหาผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ผลไม้ ผัก ดอกไม้ ขนม และอื่นๆ  รวมไปถึงสินค้าที่ระลึกอย่างตุ๊กตานำโชคซารุโบโบ (Sarubobo) ก็นำมาวางจำหน่ายที่ตลาดเช้าแห่งนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟรักษ์โลก Koma Coffee ที่ฮอตฮิต ด้วยกิมมิคสุดเก๋ ที่กินได้หมดทั้งแก้ว เป็นร้านดังและได้ออกรายการทีวีด้วยนะ มีคนมาต่อแถวยาวในตลาดเช้า Miyagawa Morning Market ที่ใครมาเยือน Takayama แล้วต้องแวะ ซึ่งตลาดเช้านี้จะเปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึงเที่ยง มีร้านรวงมาตั้งขายของมากมาย แม้บรรยากาศจะดูเงียบเหงาไปสักหน่อยแต่เชื่อว่าใครเคยมาที่นี่ต้องคิดถึงตลาดเช้านี้อย่างแน่นอนค่ะ

กาแฟที่เราไปลองมาก็คือ เอสเปรสโซ่ ที่เสิร์ฟมาในแก้วเคลือบน้ำตาล ดื่มกาแฟเสร็จแล้ว กัดแก้วกินต่อได้เลยถือว่าคุ้มดีค่ะ เนื้อของถ้วยที่ใส่กาแฟมาคล้ายคุกกี้และพายที่เนื้อแข็งมาก ด้านในเคลือบน้ำตาลอีกชั้นหนึ่ง ก่อนดื่มกาแฟแนะนำให้คนสักนิดน้ำตาลจะละลายและอร่อยขึ้น ที่สำคัญเป็นกาแฟรักษ์โลกไม่ต้องทิ้งแก้วให้เป็นขยะด้วยนะคะ แค่อยู่ในพุงเราเอง สนนราคาถ้วยละ 600เยน แต่ถ้าใครชอบ Cafe Macchiato กาแฟใส่นมแต่งลวดลายน่ารัก ที่บาริสต้าวาดสดให้ชมกันในตลาดเลย ก็สนนราคา 650 เยนค่ะ

พิกัดจากตลาดเช้า Miyagawa Morning Market Google map :

ถนนซันมาจิ สุจิ (Sanmachi Suji Old Town)

เป็นถนนที่เก่าแก่ที่สุดของทาคายามะ ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ การนั่งรถลากชมเมืองนอกจากจะเพลิดเพลินแล้วยังได้รับรู้เรื่องราวที่น่าสนใจจากคำบอกเล่าของคนท้องถิ่นอีกด้วย อีกทั้งยังได้เห็นสถาปัตยกรรมเก่า ๆ ที่มีกิมมิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนรุ่นหลังหลงเหลือไว้ให้ชมกัน เช่น

อาคารของร้าน usagiya เป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในถนนแห่งนี้มีอายุกว่า 200 ปี มีมาตั้งแต่ปีโชวะ ที่ 54 ตึกได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของญี่ปุ่น ประตูของร้านค้าที่ไม่ได้เปิดแบบบานเลื่อนเหมือนอย่างบ้านหรือร้านญี่ปุ่นอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป แต่เป็นการเปิดแบบยกขึ้นด้านบน ซึ่งไม่ค่อยเจอที่ญี่ปุ่นมากเท่าไหร่นัก

ลักษณะของตัวอาคารในถนนนี้ตัวตึกจะสูงแต่หลังคาจะต่ำ ในสมัยก่อนจะมีการแบ่งยศฐาบรรดาศักดิ์ ตามความสูงต่ำของหลังคา โดยผู้ที่มียศสูงหลังคาจะสูง ส่วนผู้ที่มียศต่ำ เช่น พ่อค้าหลังคาก็จะต่ำ เมื่อมองดูจากภายนอกจะเห็นว่าบริเวณชั้น 2 นั้นไม่ค่อยสูงนัก เพราะในสมัยก่อนเอาไว้เก็บของอย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้อยู่อาศัย ดังนั้นเลยทำให้เห็นว่าบริเวณชั้น 2 ของตัวอาคารจึงไม่สูงนักอย่างที่เห็น

Umadome ( 馬止め) เป็นห่วงเหล็กเล็ก ๆ เอาไว้ผูกม้าหน้าบ้านหรือตัวอาคาร สมัยสงครามทางการจะเก็บเหล็ก ๆ ห่วงเหล่านี้เอาไปหลอมรวมกันเพื่อทำอาวุธ แต่ก็น่าแปลกใจที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน

เบงการะ (べんがら) เป็นชื่อเรียกสีแดง หรือสีออกแดง ๆ ที่เราจะเห็นได้จากรั้วไม้ของทาคายาม่าจะเป็นสีดำถ่าน แต่ถ้าเป็นของเกียวโตจะออกเป็นสีน้ำตาลแดง ซึ่งมีบางบริเวณที่จะเห็นเป็นสีออกน้ำตาลแดง นั่นบ่งบอกว่าได้รับอิทธิพลมาจากเกียวโตนั่นเองค่ะ
กำแพงบ้านของย่านนี้ มีการเจาะช่องสำหรับตู้ไปรษณีย์เพื่อให้ไม่ขัดต่อภาพลักษณ์ชุมชน ดูแล้วน่ารักดีนะคะ

เมืองทาคายาม่าเด่นเรื่องไม้ งานไม้ งานคราฟต่าง ๆ มีชื่อเสียงมากมาย ซึ่งเรามักจะเห็นตามร้านขายของฝาก แต่มีไฮไลท์อยู่หนึ่งที่ก็คือ หากเดินในย่านเมืองเก่า อาจจะได้เจอกับ แมวกวัก ที่ยกมือซ้าย ซึ่งมีความหมายถึงการเรียกคน หรือเรียกแขก ซึ่งแมวกวักตัวนี้เป็นการแกะสลักจากไม้ 1 ท่อน ที่ถือว่าเป็นงานคราฟของเมืองนี้เลยล่ะค่ะ

พิกัดถนน Sanmachi sugi จากGoogle map :

สะพานนากะบาชิ (Nakabashi, 中橋)

คือสะพานที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของเมืองทาคายามม่า เพราะเป็นจุดชมวิว จุดถ่ายรูปโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะสองข้างทางจะเต็มไปด้วยต้นซากุระ

และยังเป็นเส้นทางหลักของขบวนแห่ในงานเทศกาลประจำเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด เช่น เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ Haru matsuri (春祭り) ของเมืองทาคายาม่า ที่จะจัดเป็นประจำทุกวันที่ 14 - 15 เมษายน ถือว่าเป็นงานเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดติดอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น โดยจะมีโอมิโกชิ เป็นรถแห่ที่มีอายุกว่า 100 ปีขึ้นไปทุกคัน จำนวน 12 คันร่วมในขบวนแห่ด้วย RyuJin Tai เป็นหนึ่งในโอมิโกชิที่ร่วมในเทศกาลจะมีจุดเด่นคือ มีหุ่นเชิดอยู่ด้านหน้า

พิกัดจาก Google map :

Takayama Jinya

Takayama Jinya ที่สร้างขึ้นในปี 1692 เคยเป็นอดีตศาลาว่าการของเมืองในยุคเอโดะ สมัยที่โชกุนโทะกุงะวะปกครอง โดยส่งคนจากหัวเมืองใหญ่มาปกครองทาคายาม่าซึ่งเป็นเมืองย่อย รูปแบบสถาปัตยกรรมที่นี่ จึงเป็นไปตามแบบสมัยเอโดะที่เรียบง่าย

ตัวอาคารหลัก ภายในมีห้องเสื่อทาทามิแบบโบราณหลายสิบห้อง โอบล้อมด้วยสวนญี่ปุ่นที่อยู่ตรงกลาง มีต้นโมมิจิที่พร้อมเฉิดฉายในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ให้บรรยากาศที่สวยสงบและมีมนต์ขลังมาก ๆค่ะ

เว็บไซต์​:
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 440 เยน, เด็กเข้าชมฟรี จนถึงมัธยมปลาย
เวลาทำการ : มี.ค. - ต.ค. 8.45 น. - 17.00 น. , พ.ย.- ก.พ. 8.45 น. - 16.30 น.
วันหยุด : 29, 31 ธ.ค. และ 1 ม.ค. ของทุกปี
พิกัดจาก Google map :

Shirakawago

เมืองมรดกโลก ชิราคาวะโกะ (Shirakawago) ที่อยู่ในจังหวัดกิฟุ บ้านเมืองแห่งนี้มีอายุมากกว่า 250 ปี ถูกเลือกให้เป็นหมู่บ้านมรดกโลกจากยูเนสโกในปี 1995 โดยมีลักษณะเด่นคือ บ้านแบบกัสโชสุคุริ (Gassho-zukuri) หรือหลังคาทรงพนมมือเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่มีลักษณะเด่นคือ หลังคามุงด้วยหญ้า susuki ทรงจั่วสูงชันดูราวกับมือที่กำลังพนมเข้าด้วยกัน นั่นเอง

ภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีบ้านสไตล์กัชโช ตั้งเรียงรายกว่า 112 หลัง แต่มีเพียง 59 หลังเท่านั้นที่มีคนอาศัยอยู่จริง ๆ บ้านส่วนใหญ่อายุกว่า 200 - 300 ปี หลังคาแต่ละหลังก็มีความลาดชันแตกต่างกันตั้งแต่ 45 องศาไปจนถึง 60 องศา โดยหลังคาที่มีความลาดเอียง 60 องศาก็จะทำให้หิมะที่ปกคลุมนั้น ร่วงหล่นลงมาไม่ตกค้างนาน

สำหรับหญ้าที่ใช้ทำหลังคา นั้นมีชื่อว่า Susuki ก็ได้มีการปลูกจากรอบ ๆ หมู่บ้านชิราคาวาโกะ แต่ก็ไม่เพียงพอ จึงได้มีการนำเข้าจาก จ.ชิสึโอกะ ในสมัยก่อนไม่ค่อยมีคนนิยมปลูกหญ้า ชนิดนี้มากเท่าไหร่นัก เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าไม่ค่อยมีค่าอะไร ก็ไปปลูกต้นไม้อย่างอื่นแทน แต่ในปัจจุบันก็ได้มีการรณรงค์ ให้คนหันมาปลูกหญ้าชนิดนี้ กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น

เนื่องจากบ้านในชิราคาวาโกะนั้นเป็นไม้ จึงติดไฟได้ง่าย บ้านแต่ละหลังก็จะมีจุดจ่ายน้ำเพื่อป้องกันไฟไหม้เตรียมเอาไว้ แต่ในทุก ๆ ปี ประมาณเดือนตุลาคม จะมีวันเปิดที่เปิดน้ำทั่วทั้งหมู่บ้านอย่างพร้อมเพรียงกันค่ะ .

ไม้ที่ใช้สร้างบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นไม้จากต้นเกาลัด ต้นสน ต้นเคยากิ ที่ขึ้นตามภูเขารอบ ๆ บริเวณหมู่บ้านแห่งนี้ ไม้ที่ลำต้นตั้งตรง ก็จะถูกนำมาเป็นเสาหลัก แต่ไม้ที่โดนหิมะทับถมกันลำต้นโค้งงอ ก็จะถูกนำมาเป็นตัวช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับตัวบ้าน โดยภูมิปัญญาของชาวญี่ปุ่นโบราณนั้นเอง

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ มีความรักในความเป็นท้องถิ่น ช่วยกันส่งเสริม และส่งต่อองค์ความรู้ต่าง ๆ ในการอนุรักษ์หมู่บ้านเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าใจและเข้าถึง และพวกเขาเหล่านั้นก็ภาคภูมิใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกที่หมู่บ้านนี้ได้รับการยกย่องเช่นกันค่ะ

ภายในหมู่บ้านยังมีจุดไฮไลท์ในการถ่ายภาพมุมสูงด้วยเช่นกันค่ะ จะเดินขึ้นไปก็ได้นะคะ หรือจะนั่งรถบัสขึ้นไปก็ได้ มุมวิวสูงนี้จะทำให้เรามองเห็นวิว ได้ทั้งหมู่บ้านเลยค่ะ

ส่งท้ายด้วยภาพงาม ๆ ที่ถ่ายในพิพิธภัณฑ์ เป็นวิวที่สวยมากจริง ๆ เลยค่ะ

นอกจากนี้ยังมีดอกโบตั๋นที่เด่นเป็นสง่า ดอกโต เมื่อมีวิวด้านหลังเป็นบ้านโบราณแล้วยิ่งทำให้ภาพนี้สวยจับใจค่ะ

พิกัดจาก ​Google map :

Related Articles Related Articles