| กองบรรณาธิการCentrip

วัดมิอิเดระ : ชมวิวทะเลสาบบิวะแบบพาโนรามา ณ สถานที่ที่มีใบไม้เปลี่ยนสีแสนสวย

เมื่อพูดถึงจังหวัดชิกะ เชื่อว่าคนญี่ปุ่นหลายคนคงนึกถึง "ทะเลสาบบิวะ" ทะเลสาบบิวะซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นนั้นให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่จนดูเหมือนว่าจะครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดชิกะไปเกือบหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วทะเลสาบมีขนาดประมาณ 1/6 ของพื้นที่ของจังหวัดเท่านั้น

วัดมิอิเดระตั้งอยู่ในเมืองโอสึซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดชิกะ และถึงแม้ว่าจะอยู่คนละจังหวัด แต่เกียวโตและโอสึจะอยู่ห่างกันประมาณ 10 กิโลเมตรและใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟประมาณ 10 นาทีเท่านั้น

หากคุณอยากไปชมวัดมิอิเดระโดยะบบขนส่งสาธารณะจากนาโกย่า ให้ขึ้นชินคันเซ็นไปยังสถานีเกียวโตจากนั้นต่อรถไปยังสถานีวัดมิอิเดระ จากสถานีเกียวโต ไปยังสถานีมิอิเดระ นั่ง JR สายโคไซไปยังสถานี โอสึเคียวประมาณ 10 นาที จากนั้นขึ้นรถไฟเคฮังเด็นเทะทสึ สายอิชิยะมะ ซะกะโมโตะของอีกประมาณ 3 นาทีก็จะไปถึงวัดมิอิเดระ

วัดมิอิเดระเป็นวัดอย่างเป็นทางการของวัดนิกายเทนได และมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าอนโจจิ ในศตวรรษที่ 7 ในยุคอาสึกะ มีบ่อน้ำร้อนศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกใช้ตอนจักรพรรดิ 3 องค์ภือกำเนิด ได้แก่ จักรพรรดิเท็นจิ จักรพรรดิเท็มมุและจักรพรรดินีจิโต โดยบ่อน้ำร้อนมีชื่อว่า "มิอิโนะเทะระ" โดยคำว่า"มิ (御)"ออกเสียงเดียวกับคำว่า "มิ (三)" วัดนี้จึงถูกเรียกว่า "มิอิเดระ" นอกจากที่นี่จะเป็นที่รู้จักว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดชิกะแล้วที่นี่ยังอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบบิวะอีกด้วย

ฉันไปเที่ยววัดมิอิเดระในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีกำลังบานสะพรั่งพอดี
หากเดินตามที่เราไกด์จากสถานีมิอิเดระประมาณ 10 นาที คุณจะเห็นประตูนิโอมงขนาดใหญ่เป็นอันดับแรก ประตูนี้เดิมตั้งอยู่ที่วัดโจระคุจิในจังหวัดชิกะ แต่ถูกโทโยโทมิ ฮิเดคิจิย้ายไปที่ปราสาทฟุชิมิในเกียวโต จากนั้นย้ายไปที่วัดมิอิเดระโดยโทคุกาวะ อิเอยาสึ

หลังจากผ่านไดมง(ประตูใหญ่)ที่ดูมีมนต์ขลังแล้ว เดินต่อไปอีกนิดคุณจะเห็นวิหารใหญ่อยู่ตรงหน้า

วิหารใหญ่ของวัดมิอิเดระถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี 1599 โดยคิตะโนะมันโดโคโระ ภรรยาหลวงของโทโยโทมิ ฮิเดคิจิ ความลาดของหลังคาที่ทำจากเปลือกไม้มีความสวยงามและถือว่าเป็นอาคารที่มีชื่อเสียงในสไตล์ของสมัยโมโมยามะ ที่ใจกลางของวิหารใหญ่มีพระพระเมตไตรยประดิษฐานอยู่ ถือเป็นพระพุทธรูปที่หาดูได้ยากและไม่เคยมีใครพบเห็นมานานกว่า 1300 ปี

ระฆังที่งดงามอยู่ข้าง ๆ วิหารใหญ่

ที่นี่ได้รับการคัดเลือกจากจีนให้เป็นต้นแบบใน "โชโชฮัคเค(ภาพวาดแบบจีนโบราณในศตวรรษที่ 10)" และจากนั้นก็ได้มีการคัดเลือกภูมิประเทศที่ยอดเยี่ยมอีก 8 แห่งในแต่ละภูมิภาค เช่น เอเชียตะวันออก ฯลฯ กลายเป็นที่มาของ “ฮัคเค” ในญี่ปุ่นมี “ฮัคเค” มากกว่า 400 แห่ง ในภูมิภาคชูบุมี "คิโสะฮัคเค", "โอมิฮัคเค" ที่มีชื่อเสียง หนึ่งใน"โอมิฮัคเค" คือระฆังของวัดมิอิเดระชื่อว่า "ระฆังมิอิเดระ(มิอิเดระโนะบันโช)"

ระฆังของวัดมิอิเดระถูกยกให้เป็น 1 ใน "ระฆังที่มีชื่อเสียงสามใบในโลก" และยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน "100 ทัศนียภาพของเสียงที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น" หากจ่ายเงิน 300 เยน นักท่องเที่ยวสามารถลองตีระฆังได้ด้วย

ที่วัดมิอิเดระมีสิ่งดังพอ ๆ กับระฆังคือเซียมซีที่มีเอกลักษณ์เรียกว่า ”เซียมซีคะเนะมิคุจิ”

หากคุณซื้อป้ายรูประฆังที่ไม่มีอะไรเขียนไว้ในราคา 200 เยนและนำไปแช่ในน้ำ ตัวเลขจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้น หากนำเลขไปบอกกับเจ้าหน้าที่ คุณจะได้รับโอมิคุจิและการ์ดรูปภาพของหมายเลขนั้น ขอบอกว่าดวงของผู้เขียนในวันนี้คือ "ซูเอะคิจิ(ดวงเกือบแย่)"

ถ้าคุณเดินไปด้านหลังของวิหารใหญ่ คุณจะเห็นห้องโถงเล็ก ๆ ภายในห้องโถงมีระฆังขนาดใหญ่ที่มีรอยขีดข่วนอยู่ ระฆังนี้มีชื่อว่า "ระฆังบังเคโนะฮิคิซึีริคะเนะ"

ว่ากันว่าในยุคกลางเกิดความขัดแย้งระหว่างวัดเฮซังเอ็นรยะคุจิและวัดมิอิเดระ มุซาชิโบเบ็งเค นักบวชแห่งวัดเฮซังเอ็นที่มีชื่อเสียงในเรื่องของพลังเวทย์ได้ขโมยระฆังใบนี้กลับไปที่วัดเฮซังเอ็น เมื่อเบ็งเคลากระฆังขึ้นไปที่วัดเฮซังเอ็นและลองตีระฆัง เสียงระฆังดังว่า "อิโน~อิโนะ~" (มีความหมายว่า "ฉันอยากกลับบ้าน" เป็นภาษาคันไซ) เมื่อเบ็งเคได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงกล่าวว่า "หนอย อยากกลับไปวัดมิอิเดระมากนักเหรอ" ก่อนจะโยนระฆังลงไปที่ก้นหุบเขาด้วยความโกรธ จึงเป็นที่มาของตำนานแผลบนระฆังที่เล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อเดินผ่านวัดที่มีระฆังแขวนอยู่นั้น จะมีอาคารในตำนานที่เรียกว่า "อิซไซเคียวโซ" ซึ่งเป็นที่เก็บพระคัมภีร์

ถูกย้ายมาจากวัดในจังหวัดยามากุจิในปี 1602 โดยเทรุโมะโตะ โมริซึ่งเป็นขุนศึก ภายในมีโกดังแปดเหลี่ยมหมุนได้ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่เก็บคัมภีร์ของศาสนาพุทธทั้งหมด

เมื่อฉันแหงนขึ้นมองไปที่"อิซไซเคียวโซ"จากด้านล่างของบันไดในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ฉันคิดว่าความตัดกันระหว่างอาคารสไตล์สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า "เซ็นชูโย" ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับวัฒนธรรมเซนของญี่ปุ่นกับสีของใบไม้เปลี่ยนสีนั้นสวยงามเป็นอย่างมาก

หากคุณผ่านหน้าอิซไซเคียวโซและเดินข้ามสะพานเล็ก ๆ คุณจะพบกับหอคอยสามชั้นที่มีความสูง 24.7 เมตร

ว่ากันว่าเจดีย์สามชั้นนี้เดิมตั้งอยู่ในวัดในจังหวัดยามาโตะ (ปัจจุบันคือจังหวัดนารา) ถูกย้ายไปที่ปราสาทฟุชิมิในเกียวโตโดยโทะโยะโทะมิ ฮิเดะชิจิและโทคุกาวะ อิเอยาสึได้ย้ายมาที่วัดมิอิเดระแห่งนี้ในปี 1601 เช่นเดียวกับไดมง เป็นเจดีย์สามชั้นที่ให้มนต์ขลังแปลก ๆ

ถัดจากเจดีย์สามชั้นมีโทอินซึ่งถือได้ว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของวัดมิอิเดระและที่ด้านหน้ามีประตูที่เรียกว่าชิคยะคุมง ทางเดินที่นำไปสู่ประตูสี่เสาเรียงรายไปด้วยโคมไฟซึ่งบ่งบอกว่าเป็นพื้นที่ที่มีความพิเศษ

เมื่อหันหลังให้กับโทอินและเดินผ่านประตูสี่เสาแล้ว พอเดินไปทางขวาจะเห็นโรงน้ำชาเล็ก ๆ ที่มีป้ายชื่อ "ฮงเคะจิคะระเค็ง" ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 200 ปี

"บังเคจิคะระโมจิ" คือโมจิของขี้นชื่อ รสสัมผัสมีความนุ่ม โรยด้วยคินะโกะกับชาเขียวและวะซัมบง ซื้อโมจิ 2 ไม้และชาโฮจิเป็นเซ็ทได้ในราคา 300 เยน ที่นั่งด้านนอกที่คลุมด้วยพรมนุ่มสีแดง ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอันเขียวชอุ่มของวัดมิอิเดระเป็นที่ที่คุณสามารถใช้เวลาดื่มชาได้อย่างเพลิดเพลินได้

อุโมงค์ต้นเมเปิ้ลยาวถัดไปจากโรงน้ำชา ใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่สวยมากจริง ๆ

มีพระพุทธรูปหินสุดน่ารักหลายตัวเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งทางเดินอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสี

ที่ปลายอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสี มีอาคารหลังเล็ก ๆ ที่เรียกว่าบิชะมนโด อาคารสีแดงล้อมรอบด้วยใบไม้สีแดง ดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก

ถ้าคุณผ่านเดินวัดสีแดงหลังเล็ก ๆและขึ้นบันไดที่สูงชันเล็กน้อย คุณจะพบกับคันนงโด(วัดพระโพธิสัตว์) ที่มีนโยอิรินคันนง พระพุทธรูปหลักของวัดถือเป็นพระพุทธรูปที่เข้าชมได้ยาก ประตูวัดจะถูกเปิดทุก ๆ 33 ปีและคุณจะได้ชมพระพุทธรูปในเวลานั้น ผู้คนเคารพบูชาเพราะถือเป็นพระพุทธรูปที่ช่วยเสริมความมั่งคั่งและการคลายความกังวล

วัดมิอิเดระได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในการชมดวงจันทร์ได้อย่างสวยงามมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังนั้นที่นี่จึงยังมีเวทีรอบวิหารใหญ่ที่สามารถชมดวงจันทร์ได้อย่างสวยงามได้ (ตังเก็ทสึบุไต)

หากคุณเดินขึ้นบันไดไปอีก คุณจะพบกับหอชมวิวที่คุณสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองโอสึและวิวของทะเลสาบบิวะได้

ที่ตั้งของวัดมิอิเดระมีขนาดใหญ่และมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เดินเล่นสบาย ๆ สัก1~2 ชั่วโมงก็ถือเป็นความคิดที่ดีไม่ใช่น้อย

นาโกย่าและเกียวโตอยู่ใกล้กันมากและหากคุณขึ้นชินคันเซ็น "โนโซมิ" คุณสามารถไปถึงได้ในเวลาเพียง 30 นาที เนื่องจากจังหวัดชิกะอยู่ตรงกลางจึงมักกลายเป็นทางผ่านไปมาแต่จริง ๆ แล้วที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์มากมายรอบทะเลสาบบิวะ เช่น ฮิโกเนะที่เป็นที่ตั้งของปราสาทฮิโกเนะที่เป็นสมบัติประจำชาติ โอมิฮาจิมังซึ่งทิวทัศน์เมืองเก่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่และโอสึซึ่งเป็นที่ตั้งวัดมิอิเดระ เดินทางจากชูบุง่ายขนาดนี้ ต้องลองมาสัมผัสเสน่ห์ของที่นี่ให้ได้นะคะ

Related Articles Related Articles