| กองบรรณาธิการCentrip

อยากสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่นาโกย่าเหรอ? มาที่อะริมัทสึสิ

อะริมัทสึเป็นสถานที่แบบไหน ?

อะริมัทสึเป็นเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากนาโกย่า เดินทางจากนาโกย่าด้วยรถไฟประมาณ 20 นาที ที่นี่โด่งดังเรื่องผ้ามัดย้อม อะริมัทสึถูกสร้างขึ้นในยุดเคโชที่ 13 (ค.ศ. 1608) มีประวัติยาวนานกว่า 400 ปี “อุคิโยะเอะ”(โทไคโด53)หรือภาพวาดที่โด่งดังของญี่ปุ่นเป็นภาพวาดเกี่ยวกับโทไคโดในอดีต (จุดเชื่อมโยงที่สำคัญในการเดินทางระหว่างเอโดะกับเกียวโตในยุคโคะได) รู้จักกันดีในชื่อ “เส้นทาง53จุด” หนึ่งในภาพวาดเหล่านั้น [นะรุมิ เมบุสึอะริมัทสึชิโบริ]ยังมีภาพของร้านผ้ามัดย้อมอะริมัทสึถูดวาดเอาไว้ด้วย แสดงให้เห็นถึงสภาพบ้านเมืองในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี

ประวัติศาสตร์ของผ้ามัดย้อมนั้นสำคัญพอ ๆ กับประวัติศาสตร์ของอะริมัทสึ ผ้ามัดย้อมถือเป็นสิ่งที่สร้างรายได้หลักให้กับชาวบ้านในอะริมัทสึ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังโทไคโดต่างก็ชื่นชอบและซื้อกลับไปเป็นของฝาก แม้เมื่อเวลาจะผ่านไปจนโทไคโดสิ้นสุดลง แต่ศิลปะเก่าแก่อย่างผ้ามัดย้อมและอาคารโบราณก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ตึกรามบ้านช่องแบบโบราณและศิลปะทำมืออย่างผ้ามัดย้อมสุดเก๋จะทำให้คุณสัมผัสได้ถึงความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

เมืองนี้ไม่เผยอดีตของตัวเองมากนัก ลึกลับและน่าค้นหาเหมือนกับลายมือ อดีตต่าง ๆ เกี่ยวกับเมืองถูกเขียนอยู่ตามมุมเมืองต่าง ๆ กรอบหน้าต่าง ราวบันไดและรั้วบ้าน วันนี้เราจะพาคุณไปเดินเล่นในเมืองอะริมะทสึและช่วยกันค้นหาความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่ด้วยกัน

สถานที่ที่น่าสนใจ

1. สนุกไปกับการซื้อของและการเรียนรู้ที่พิพิธภัณฑ์อะริมัทสึและผ้ามัดย้อมนะรุมิ

เมื่อลงจากสถานีอะริมัทสึแล้ว ให้เดินเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ก็จะถึง “อะริมัทสึไคโด” หากเดินเลียบทางไปก็จะเจอตึกสองชั้นสีขาว ตึกนั้นคือพิพิธภัณฑ์อะริมัทสึและผ้ามัดย้อมนะรุมิ

ชั้น 1 มีร้านค้าที่มีผ้าเช็ดหน้า เสื้อผ้า กระเป๋าตังค์ ผ้าพันคอและสินค้าอื่น ๆ ที่ทำจากศิลปะการมัดย้อมวางขายอยู่

บนชั้น 2 มีห้องพิพิธภัณฑ์ ที่จะทำให้คุณได้รู้จักกับความเป็นมาของผ้ามัดย้อมอะริมัทสึ มีมุมที่จะมีเจ้าหน้าที่ 2 คนสาธิตวิธีการมัดย้อมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีคลาสสอนการมัดย้อมอีกด้วย

ในส่วนของการเข้าไปดูที่ชั้น 2 ต้องเสียค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 300 เยน หากซื้อตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ผ้ามัดย้อมกับพิพิธภัณฑ์รถลากแบบเซ็ทจะได้ในราคา 450 เยน เรียกได้ว่าคุ้มมากเลย

ที่ห้องพิพิธภัณฑ์จะมีการฉายวิดิโอแนะนำเกี่ยวกับผ้ามัดย้อมทุก ๆ 15 นาที ในตู้แสดงผลงานจะมีทั้งของมัดย้อมที่ทำเสร็จสมบูรณ์แล้วกับของที่ยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์แสดงอยู่ ของที่ยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์จะอยู่ในสภาพของที่ยังมถูกย้อม วิธีการย้อมมีถึง 100 กว่าวิธีด้วยกัน ทุกคนใช้อุปกรณ์ในการถักผ้าให้แตกต่างกันไปในรูปแบบต่าง ๆ มีทั้งแบบเชือก เชือกแบบพรม และย้อมในวิธีที่แตกต่างกันไป

ในจุดที่มีเจ้าหน้าที่ 2 คน จะมีการอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน คนหนึ่งจะเป็นผู้สาธิตวิธีการมัดผ้าด้วยเส้นด้าย อีกหนึ่งคนจะพันผ้าลงบนแท่งที่เตรียมไว้ แท่งที่ว่ามีขนาดยาวประมาณนิ้วก้อยและมีน้ำหนักเบา ขั้นตอนต่อไปคือการย้อมสี เจ้าหน้าที่จะจุ่มผ้าลงในแก้วสีย้อมที่เตรียมไว้ บริเวณที่ถูกมัดไว้จะไม่เปลี่ยนสี เมื่อนำด้ายที่มัดไว้ออกไปแล้ว บนตัวผ้าจะหลงเหลือลายที่เกิดขึ้นจากการพัน

。คลาสทดลองย้อมผ้ามีดังนี้ ผ้าเช็ดหน้า (1080 เยน รวมภาษีแล้ว),ผ้าปูโต๊ะ (2160 เยน รวมภาษีแล้ว) ผ้าม่านสั้น (2700 เยน รวมภาษีแล้ว) ผ้ากันเปื้อน (3240 เยน รวมภาษีแล้ว) เสื้อยืด (ผู้ชาย : 3780 เยน , ผู้หญิง : 3240 เยน) สำหรับผู้ที่สนใจสมัครคลาสเรียนต้องทำการจองผ่านอีเมล

ในคลาสเรียนผู้สอนจะทำการสอนตั้งแต่เริ่มต้น แต่เนื่องจากขั้นตอนหลังย้อมผ้ามีความยุ่งยากและค่อนข้างใช้เวลาจึงไม่สามารถทำในคลาสได้ เมื่อผ้าที่มัดย้อมเสร็จสมบูรณ์แล้วเจ้าหน้าที่จะทำการส่งไปยังที่อยู่ที่ทุกคนกรอกไว้

2.พิพิธภัณฑ์รถลาก: มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมรถลากไปอีกขั้นกันเถอะ

หลังจากออกมาจากพิพิธภัณฑ์ผ้ามัดย้อมแล้ว เดินต่อไปอีกนิดจะเจอพิพิธภัณฑ์รถลากอยู่ทางซ้ายมือ
ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์รถลากราคา 200 เยน ที่ชั้น 1 มีการฉายวิดิโอแนะนำเกี่ยวกับรถลากทั้ง 3 ได้แก่ “โฮะเทชะ” “คะระโกะชะ”และ “จิงกูโคโกชะ” และเกี่ยวกับความแตกต่างของตุ๊กตาที่อยู่บนรถ รถลากเป็นรถลากที่ทำจากไม้ มี 2 ชั้น ชั้นล่างจะมีล้อใหญ่ 4 ล้อติดอยู่ เมื่อถึงวันเทศกาลก็จะลากรถเข้าไปในเมือง

。ความยิ่งใหญ่ของรถลากเปรียบเสมือนตัวแทนของภูเขา รถลากหลายคันจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาพระเจ้าบนภูเขา ความพิเศษของตุ๊กตาบนรถลากคือ การแสดงที่เปลี่ยนกันไปทั้งการเขียนตัวอักษร การแสดงศิลปะต่าง ๆ การส่งเสียง รวมไปถึวการเต้น โดยการแสดงทั้งหมดจะถูกควบคุมโดยคนที่อยู่ในรถลาก
ตุ๊กตาที่อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ เป็นตุ๊กตาที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้ลองสัมผัสประสบการณ์ชักเชือกให้ตุ๊กตาสามารถขยับแขนขยับขาได้ สนุกมากเลยล่ะค่ะ

รถลากอะริมัทสึโฮะเทชะมีความสูง 5.9 เมตรและมีตุ๊กตา 4 ตัวแสดงอยู่ หนึ่งในตุ๊กตาเหล่านั้นมี 1 ตัวเป็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่มีรอยยิ้มและจับพู่กันตั้งอยู่ตรงกลางบนชั้น 2 ในวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม จะมีการจัด “เทศกาลอะริมัทสึมันชะชูคิไทไซ”และ “เทศกาลชิโบะริโซเมะ”ในเดือนมิถุนายน รถลากโฮเทชะจะถูกลากไปรอบ ๆ เมืองโบราณ

บนชั้น 2 ของอาคารเป็นพิพิธภัณฑ์ มีรถลากถูกจัดแสดงอยู่มากมาย อีกทั้งยังมีตุ๊กตาที่ใส่ชุดที่ดูหรูหราโอ่อ่า เทงกุ เทพเจ้าจมูกยาว(เทพเจ้าหน้าสีแดง) และยังมีหน้ากากที่เหมือนมาจากโลกแห่งจินตนาการจัดแสดงไว้อีกด้วย

3.ศาลเจ้าอะริมัทสึมันชะ:ขอพรเรื่องการเรียนให้สมหวัง

เมื่อพูดถึงเทศกาลใหญ่ในฤดูใบไม้ผลิแล้วล่ะก็ ไม่อยากให้พลาดเทศกาลอะริมัทสึมันชะเลยล่ะ ศาลเจ้าตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานี เลยถนนไปเล็กน้อย ข้ามทางรถไฟ ใช้เวลาประมาณ 9 นาที

ที่ศาลเจ้าอะริมัทสึมันชะตั้งอยู่ในภูเขาเล็ก ๆ หลังจากลอดโทริอิและเดินขึ้นบันไดยาว ๆ ขึ้นไปก็จะเจอศาลเจ้า เนื่องจากที่นี่รายล้อมด้วยต้นไม้ แม้จะเป็นฤดูร้อนก็ไม่ร้อนจนเกินไป เทพเจ้าของที่นี่คือ “ซุกุวะระโนะมิจิซาเนะ”เป็นบุคคลจริงที่ถูกยกย่องให้เป็นพระเจ้า

ซุกุวะระโนะมิจิซาเนะเป็นขุนนางในสมัยเฮอันและยังเป็นผู้ที่ฉลาดปราชญ์เปรื่อง ได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญในศาลของราชวัง และเมื่อเสียชีวิตถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการศึกษา

ที่ศาลเจ้ามีรูปปั้นหินชื่อ “ฟุเดะโอะซะเมะ”อยู่ ว่ากันว่าหากซื้อพู่กันแบบเก่าไปถวายแล้ว ซุกุวะระโนะมิจิซาเนะจะช่วยทำให้พรที่ขอเกี่ยวกับเรื่องการเรียนเป็นจริง

นอกจากนี้ที่ศาลเจ้ายังมีโคมไฟรูปนกอุโซะตั้งอยู่อีกด้วย ดูท่าว่ามิจิซาเนะน่าจะชอบนกเอามาก ๆ เนื่องจากคำว่า “鷽(อุโซะ)”เหมือนกับคำว่า “嘘(อุโซะ)”(ที่แปลว่าโกหก) คนที่มาขอพรที่ศาลเจ้าอะริมัทสึมันชะก็ถือให้โคมไฟนั้นเป็นเครื่องหมายที่จะทำให้รอดพ้นจากภัยพิบัติและความยากลำบากทั้งหลาย

4. เมืองเก่าอะริมัทสึ :ทัศนศึกษาเกี่ยวกับบ้านสมัยก่อน

หลังจากออกมาจากศาลเจ้าอะริมัทสึมันชะแล้ว เดินเลียบถนนประมาณ 5 นาทีกลับไปยังถนนอะริมัทสึโทไคโด บนถนนโทไคโดที่ยาวกว่า 800 เมตร มีบ้านโบราณที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตั้งเรียงรายอยู่ ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นในช่วงหลังสมัยเอโดะและต้นสมัยเมจิ บนหลังคาทรงสามเหลี่ยมปูด้วยกระเบื้องที่มีความกลมกลืนเข้ากับตัวบ้านได้เป็นอย่างดี

หนึ่งในบ้านที่ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์คือบ้านโอคะยะ บ้านหลังนี้เป็นบ้านของคนขายผ้ามัดย้อม เนื่องจากเปิดขายของแก่คนที่สัญจรผ่านไปมา บริเวณเก็งคัง(บริเวณประตูเข้าบ้าน)กว้างและหันหน้าเข้าทางถนนโทไคโด ในเขตตัวบ้าน นอกจากอาคารหลักแล้ว ยังมีในส่วนของห้องทำงาน ห้องเก็บของทางทิศตะวันออก ห้องเก็บของทางทิศตะวันตก และสวนระหว่างอาคารอีกด้วย ในส่วนของห้องหลักเปิดให้เข้าฟรีและยังมีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายให้ฟังอีกด้วย

พอเข้าไปในห้องก็จะมองเห็นห้องกว้างที่อยู่ทางขวามือ แสงแดดจากข้างนอกลอดผ่านประตูระแนงไม้ส่องกระทบกับเสื่อตาตามิบนพื้น

พอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จะเจอห้องต้มน้ำอยู่ทางซ้ายมือ เพื่อป้องกันไฟไหม้ กำแพง เสาและคานถูกพอกด้วยดินบาง ๆ อีกทั้งยังคงเหลือเตาฟืนแบบสมบูรณ์ไว้ให้เห็น ทำให้เราสามารถจินตนาการถึงควมเป็นอยู่ของคนสมัยนั้นได้

ตรงข้ามกับห้องต้มน้ำมีห้องเล็ก ๆ อยู่ เป็นห้องที่ไม่มีหน้าต่าง เพดานอยู่สูงยืดยาวขึ้นไปและแคบลงไปเรื่อย ๆ และเพื่อให้ยังมีแสงสว่างส่องลงมายังข้างล่างได้ หน้าต่างบนฝ้าจึงถูกเปิดไว้

นอกจากนี้ หากเดินไปสุดทางจะเจอห้องทำงานกว้าง และเครื่องซักผ้าเก่า ๆ ที่วางอยู่ข้างกำแพง

ในอะริมัทสึ นอกจากบ้านโอะคะยะแล้วยังมีสิ่งก่อสร้างอีกหลายแห่งที่มีความเป็นสมัยเอโดะ บ้านหลายแห่งถูกแปลงไปเป็นร้านขายสินค้าที่ทำจากศิลปะมัดย้อมและร้านอาหาร ทำให้คุณได้สนุกไปกับการซื้อของและเพลิดเพลินไปกับการทานอาหารอร่อย ๆ

ในร้านมัดย้อมหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็น “ร้านคุโน” หรือ “ร้านฮะยะโซะเมะ”และร้านอื่น ๆ นอกจากซื้อของแล้วยังสามารถทดลองย้อมผ้าได้ด้วย หากอยากลองสัมผัสประสบการณ์การย้อมผ้าแล้วล่ะก็ ควรตรวจสอบในเว็บไซต์แล้วทำการจองด้วยนะคะ

บางร้านก็ขายสินค้ามัดย้อมที่มีสีแบบคัลเลอร์ฟูล ขายทั้งที่มัดผม รองเท้า กระเป๋าและของฝากที่น่ารัก รอให้คุณเลือกซื้อกลับบ้าน

พักที่ร้านขนมปังกันสักหน่อย: ร้านขนมปังมัดย้อมอะริมัทสึ

เดินกันมานานแล้ว เหนื่อยกันมั้ยคะ ถ้าอยากพักสักหน่อยล่ะก็เรามีร้านมาแนะนำค่ะ นั่นคือ “ร้าน DASENKA คุระ”
สมัยก่อนเป็นร้านขายผ้ามัดย้อมชื่อคะมิยะฮันจิโร่ซึ่งทุกคนเรียกว่า “คะมิฮันเท” ตอนนี้เปลี่ยนเป็นร้านอาหารชื่อ ร้าน DASENKA คุระ

ของขั้นชื่อของร้านนี้เป็นขนมปังที่ผลิตขึ้นจากแรงบันดาลใจจากผ้ามัดย้อม ไม่ใช่เพียงเท่านั้นวัตถุดิบที่ใช้ในการทำขนมปังเป็นสิ่งที่ไม่ได้แต่งกลิ่นและสี ดีต่อสุขภาพ

หากไม่เลือกทานแบบกลับบ้านก็สามารถทานได้ทั้งที่ชั้น 1 ชั้น 2 และที่นั่งในสวน บรรยากาศในร้านมีบรรยากาศที่สดชื่น มีทั้งเพลงเพราะ ๆ และบางทีอาจจะได้ยินเสียงของจั๊กจั่นแทรกขึ้นมาด้วย

สวนที่อยู่ในร้านเป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่น มีต้นไม้สูง ๆ และต้นไม้เตี้ย ๆ ปลูกสลับกันไป พื้นใช้หินก้อนเล็กและใหญ่เรียงแบบกระจัดกระจายบนพี้น ดูมีศิลปะมาก ๆ

และสิ่งที่ทำให้ขนมปังของที่นี่อร่อยฟินขั้นสุดอยู่ที่การไม่ใส่คาร์โบไฮเดรตลงไปในขนมปังจึงทำให้กลิ่นของแป้งสาลีหลงเหลืออยู่ อีกทั้งยังใส่เปลือกส้มลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติที่สดใหม่และยังช่วยให้สัมผัสของขนมปังอร่อยขึ้นด้วย

สำหรับวิธีการเดินทางไปฮามะมัทสึสามารถดูได้ที่ “Spot Info”

สรุป

อะริมัทสึอาจไม่ได้กว้างขวางเหมือนปราสาทนาโกย่า ไม่มีแฟชั่นสวย ๆ อย่างซากาเอะ แต่ความงดงามของที่นี่คือเงียบสงบและความอบอุ่น อาจจะไม่ได้ทำให้คุณตื่นตาตื่นใจแต่จะทำให้คุณสัมผัสกับกลิ่นอายของความโบราณ ถ้าอยากยืดแข้งยืดขาแบบชิล ๆไปพร้อมกับดูเมืองเก่า ๆ ล่ะก็ต้องที่อะริมัทสึ

Related Articles Related Articles