| Centrip Editorial Board
สถานที่เพื่อสัมผัสธรรมชาติและทิวทัศน์ของนากาโน่
จังหวัดนากาโนะมีภูมิประเทศและจุดชมวิวที่งดงาม รวมถึงเทือกเขาที่ขรุขระ แม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ ป่าไม้ทึบ และภูมิประเทศเก่าแก่ ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำสถานที่ 9 แห่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะขับเน้นให้คุณได้เห็นความหลากหลายของสถานที่ทางธรรมชาติที่สวยงามและทิวทัศน์อันตระการตาที่รอให้คุณมาค้นพบทั่วจังหวัดนากาโนะ
แอ่งพระจันทร์เสี้ยว เซนโจจิกิ เซิร์ก
หุบเขาที่ปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งเป็นที่ตั้งของทิวทัศน์แบบอัลไพน์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
เซนโจจิกิ เซิร์กเป็นแอ่งที่ราบขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาที่มีรอยเว้าอันเกิดจากการกัดกร่อนของธารน้ำแข็งเป็นแอ่งทรงครึ่งวงกลมหรือพระจันทร์เสี้ยวเมื่อหลายพันปีก่อน ทุกวันนี้ที่ราบแห่งนี้เป็นสวรรค์ของอัลไพน์ที่คุณได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของเจแปนแอลป์และตกตะลึงกับความงามทั้ง 4 ฤดูกาลพร้อมดื่มด่ำกับความตระการตาของธรรมชาติโดยรอบ
ฮาคุบะ อิวะทะเกะ เมาน์เทนรีสอร์ท
เซนโจจิกิเป็นจุดหมายปลายทางของนักปีนเขาที่มีประสบการณ์ และต้องใช้เวลาปีนเขาหลายชั่วโมงเพื่อเข้าถึงบริเวณนี้ อย่างไรก็ตาม กระเช้าลอยฟ้าโคมากาทาเกะพร้อมให้บริการเหล่านักท่องเที่ยวและนักเดินเขาสมัครเล่นไปยังจุดฐานของเซิร์กโดยไม่ต้องเสียเหงื่อหรือมีความกังวลใด ๆ เมื่อออกจากสถานีกระเช้าลอยฟ้า คุณจะได้พบกับอีกโลกนึงซึ่งตั้งอยู่เหนือเมฆ ระดับความสูงดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มความงดงามให้แก่ทุกฤดูกาล โดยในฤดูร้อน (ปลายเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม) เหล่าดอกไม้อัลไพน์จะบานปกคลุมราวกับไม่มีที่สิ้นสุดไปทั้งภูเขา ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ปลายเดือนกันยายนถึงตุลาคม) คลื่นสีทองและสีแดงเข้มพาดผ่านหุบเขา ในฤดูหนาวคุณจะได้พบกับความสวยงามและความเงียบสงบของน้ำแข็ง หิมะ และก้อนหิน และในฤดูใบไม้ผลิเมื่อหิมะเริ่มละลาย ภูเขาก็จะกลับมาแต่งแต้มด้วยสีสันอีกครั้งนึง การเดินเขาเริ่มบริเวณรอบๆ ฐานของเซิร์กเพื่อเก็บภาพแบบพาโนรามาและความมหัศจรรย์ของฤดูกาลด้วยกล้องถ่ายภาพ ซึ่งนี้อาจจะเป็นกิจกรรมยอดนิยมที่สุด การเดินวนบนเส้นทางแบบสบายๆ จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากสถานีกระเช้าลอยฟ้าและกลับมาจบที่จุดเดียวกัน ก็และนี้ก็เป็นโอกาสที่เหลือเฟือที่คุณจะได้เพิ่มภาพลงอินสตาแกรม และถ้าคุณอยากพักค้างคืน โรงแรมเซนโจจิ ตั้งอยู่ข้างสถานีกระเช้าลอยฟ้าก็เป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว ถ้าคุณค้างคืน โปรดอย่าลืมมองขึ้นไปบนฟ้ายามค่ำคืนที่สวยงามราวกับอยู่ในสวรรค์และคุณอาจได้เห็นทางช้างเผือกอีกด้วย
ชิโมะกุริ โนะ ซาโตะ
การตั้งถิ่นฐานบนเนินเขาลอยฟ้าอันเงียบสงบ
ชิโมะกุริ โนะ ซาโตะ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่แยกตัวออกมา ซึ่งมีจำนวนครัวเรือนน้อยกว่า 50 ครัวเรือน และขึ้นชื่อเรื่องความงามอันเป็นเอกลักษณ์ โดยพื้นที่อยู่อาศัยนี้ตั้งอยู่ที่ความสูง 800 – 1,100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และอยู่บนความชันกว่า 40 องศาในสถานที่ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาที่สูงตะหง่าน สำหรับ ผู้มาเยี่ยมชม คุณจะได้สัมผัสกับภูมิประเทศที่งดงามและหาชมได้ยาก ตลอดจนวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเหมือนพาคุณเดินทางไปในห้วงเวลาและสถานที่ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
จุดเด่น
จุดชมวิวที่สามารถเก็บภาพหมู่บ้านที่มีทิวทัศน์ที่งดงามเป็นพิเศษ คือ ‘จุดชมวิวเท็นกุ โนะ ซาโตะ’ จุดชมวิวเล็ก ๆ แห่งนี้ให้ทัศนียภาพในมุมสายตานก ของหมู่บ้าน และสภาพแวดล้อมที่น่าตื่นตา จากมุมมองนี้ชิโมะกุริ โนะ ซาโตะ จะดูเหมือนเกือบจะลอยอยู่ท่ามกลางภูเขา และความรู้สึกนี้จะยิ่งเด่นชัดขึ้นในตอนเช้าที่มีทะเลเมฆลอยอยู่เบื้องล่าง การเดินเล่นไปรอบ ๆ หมู่บ้านเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยม ในการสังเกตและการเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตทางการเกษตรที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน วัฒนธรรมอันงดงาม และวิถีชีวิตอันเรียบง่าย โปรดอย่าลืมให้เกียรติสถานที่อยู่เสมอระหว่างการเยี่ยมชมเพราะคุณเป็นผู้มาเยือนและนี้คือบ้านของผู้คนในชุมชน ถ้าคุณอยากมีโอกาสได้พูดคุยกับชาวบ้านหรือถ้ารู้สึกหิว เราขอแนะนำให้คุณแวะที่ฮันบาเทอิ ซึ่งเป็นร้านอาหารเพียงแห่งเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ พนักงานที่นี่ประกอบด้วยผู้อยู่อาศัยทั้งหมดและอาหารของพวกเขาทำจากส่วนผสมที่ปลูกในท้องถิ่นโดยใช้สูตรดั้งเดิม นอกจากนี้คุณสามารถที่จะจองพักในหมู่บ้านได้อีกด้วย
คุณสามารถเดินทางไปยังชิโมะกุริ โนะ ซาโตะได้ตลอดปี ส่วนร้านอาหารฮันบาเทอิปิดทุกวันพฤหัสบดีและปิดช่วงฤดูหนาว (ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเมษายน)
คามิโคจ
หุบเขาอันสวยงามบริสุทธิ์หรือที่รู้จักในชื่อ “อัญมณีแห่งเทือกเขาเจแปนแอลป์”
คามิโคจิมีความงามที่น่าเกรงขามที่แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ที่แท้จริงของป่าญี่ปุ่น หุบเขาแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาโฮทากะที่ใหญ่โตและคดเคี้ยวราวกับงู ไปกับน้ำสีฟ้าอมเขียวของแม่น้ำอะสุสะที่ไหลผ่านป่าดิบชื้นเป็นระยะทางกว่า 18 กิโลเมตร ที่ระดับความสูง 1,500 เมตรและอยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ ทำให้สถานที่แห่งนี้เหมาะกับการผ่อนคลายจิตใจและร่างกายพร้อมกับการเชื่อมต่อกับธรรมชาติอีกครั้ง
จุดเด่น
การเดินเท้าสำรวจคามิโคจิเป็นสิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาด ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์เพื่อให้คุณได้พบกับภาพรวมและความงดงามทั้งหมด หากคุณมีเวลาไม่กี่ชั่วโมง เราขอแนะนำให้คุณเดินตามเส้นทางที่มุ่งหน้าไปสะพานคัปปะที่โด่งดัง โดยเดินผ่านจุดกางเต็นท์โคนาชิดิระ และเดินต่อไปยังสระน้ำเมียวจินก่อนวนกลับมาอีกฝั่งของแม่น้ำมุ่งหน้าสู่สะพานคัปปะอีกครั้ง เส้นทางเดินระยะทาง 8 กิโลเมตรนี้จะพาคุณไปสู่สถานที่น่าสนใจหลายแห่งและเป็นเส้นทางที่สะดวกสบายที่สุดอีกด้วย คุณจะได้เดินผ่านป่าไม้ที่งดงามและเลียบผ่านผืนน้ำที่ใสสะอาดของแม่น้ำอะสุสะ ถ้าคุณมีเวลาเหลือ ลองเดินย้อนกลับไปในทิศทางตรงข้ามกับสระน้ำทาอิโชซึ่งเป็นซึ่งเป็นจุดโปรดของช่างภาพที่ต้องการถ่ายภาพภูเขาที่สะท้อนอยู่ในผืนน้ำที่สงบนิ่ง
คามิโคจิเปิดให้เดินทางมาเยี่ยมเยือนระหว่างวันที่ 27 เมษายน ถึง 15 พฤศจิกายนของทุกปี ช่วงพีคของคามิโคจิคือระหว่างปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นมิถุนายนซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิที่เขียวขจี ส่วนช่วงเวลาที่ดอกไม้อัลไพน์บานสะพรั่ง คือเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ส่วนเดือนตุลาคมเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสี การเดินทางไปคามิโคจิช่วงเดือนฤดูหนาวก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่คุณต้องปีนเขา (ด้วยรองเท้าเดินหิมะ) และต้องบริหารจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง
เขื่อนคุโรเบะ: เส้นทางอัลไพน์ทาเทยามะ คุโรเบะ
ความมหัศจรรย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม
เขื่อนคุโรเบะเป็นหนึ่งในตำนานเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรม หลังจาก 7 ปีแห่งการทำงานอย่างหนักหน่วงที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ และความพยายามในที่สุดเขื่อนก็เสร็จสมบูรณ์ในปีพ.ศ. 2506 ส่วนหนึ่งของเส้นทางอัลไพน์ทาเทยะมะคุโรเบะนั้นแต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อช่วยในการจัดหาเสบียงที่จำเป็นสำหรับการก่อสร้างเขื่อน และต่อมาได้มีจึงได้มีการนำมาใช้ใหม่และขยายเส้นทางจนกลายมาเป็นเส้นทางเช่นในปัจจุบัน ปัจจุบันการเดินทางทางมายังเขื่อนคุโรเบะสามารถเดินทางมาโดยใช้เส้นทางอัลไพน์ นอกเหนือจากการเป็นคอนกรีตยักษ์ใหญ่ที่น่าประทับใจท่ามกลางภูมิทัศน์อันน่าทึ่ง เขื่อนนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเฉลียวฉลาดและความอุตสาหะของญี่ปุ่นที่ตั้งตระหง่านอยู่อีกด้วย
จุดเด่น
เขื่อนคุโรเบะมีขนาดใหญ่โตมหึมา แต่เรื่องราวเบื้องหลังการพัฒนาโครงการของเขื่อนยิ่งใหญ่กว่าขนาดของมันเสียอีก ความยิ่งใหญ่นี้ประกอบไปด้วยค่าใช้จ่ายอันมหาศาลกว่า 51 พันล้านเยน และแรงงานจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน! การได้รู้ถึงความพยายามที่มากมายมหาศาลทำให้เกิดคุณค่าต่อการมาสัมผัสความโอ่อ่าของเขื่อน ทะเลสาบคุโรเบะซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีน้ำสีเขียวอมน้ำเงินเป็นสีสะท้อนจากเขื่อนก็สร้างความยิ่งใหญ่ในตัวเอง ถ้าคุณอยากมองเห็นภาพกว้างของเขื่อนแล้วละก็อย่าลืมไปที่จุดชมวิวทั้งส่วนบนและส่วนล่างของเขื่อนด้วย โดยส่วนใหญ่หากคุณต้องการดูเขื่อน และถ่ายรูปสักสองสามภาพ เวลา 1-2 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าหากตารางการเดินทางของคุณไม่แน่นมากนัก คุณอาจใช้เวลาทั้งวันที่เขื่อนและบริเวณใกล้เคียงที่มีกิจกรรมให้คุณได้ทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่น 1 ชั่วโมงตามริมทะเลสาบคุโรเบะด้านตะวันตกไปยังกระท่อมคุโระยอนและเดินกลับผ่านสะพานแขวนขนาดใหญ่ก่อนเข้าสู่ป่าต้นเบิร์ช/ต้นบีชที่งดงาม หรือคุณจะเลือกล่องเรือในทะเลสาบเป็นเวลา 30 นาทีก็ได้ (ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน)
คุณสามารถเดินทางไปที่เขื่อนได้โดยเส้นทางอัลไพน์ระหว่างกลางเดือนเมษายนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน เขื่อนมีการปล่อยน้ำระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน ถึง 15 ตุลาคมซึ่งเป็นการแสดงที่ดึงดูดผู้คนได้เป็นอย่างมาก น้ำกว่า 10 ตันต่อวินาทีที่ไหลทะลักจากวาล์วบริเวณผนังเขื่อน เมื่อกระทบกับแสงทำให้เกิดสายรุ้งและละอองไอน้ำที่สวยงาม
อุทยานธรรมชาติสึกาอิเกะ
สรวงสวรรค์แห่งธรรมชาติเหนือก้อนเมฆพร้อมบรรยากาศภูเขาล้อมรอบ
อุทยานธรรมชาติสึกาอิเกะอันเป็นที่รัก เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่ได้รับการคุ้มครองโดยเฉพาะ ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมกว่า100 เฮกเตอร์ที่ไม่ได้รับการแตะต้องจากมนุษย์ การเดินผ่านเส้นทางระยะกว่า 5.5 กิโลเมตรของอุทยานแห่งนี้จะพาคุณผ่านสระน้ำและจุดชมวิวมากมายซึ่งมีพันธุ์ไม้อัลไพน์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยอดเขาของแอลป์ทางเหนือตั้งตระหง่านอยู่เหนืออุทยานธรรมชาติที่ 1,000 เมตร ซึ่งเป็นฉากหลังที่ไม่มีที่ติสำหรับการเดินทางของคุณ
จุดเด่น
อุทยานแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่คุณจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เพราะการเปลี่ยนแปลงของพืชอันสวยงามเหล่านี้จะตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมตามปฏิทินตลอดปี ฤดูหนาวที่ยาวนานไปด้วยความมืดมิดและหนาวเย็น โดยหิมะปกคลุมสูงกว่า 6 เมตร แต่ช่วงกลางวันอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก่อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หิมะที่ละลายช่วยให้ต้นมิสึบะโชะ หรือ Asian Skunk Cabbage เจริญเติบโตได้อย่างงดงาม ทุ่งดอกมิสึบาโชะสีขาวบานสะพรั่งในช่วงต้นถึงกลางเดือนมิถุนายน เป็นการประกาศการมาถึงของฤดูกาลสีเขียวชอุ่ม ดอกไม้หลากหลายบนเทือกเขาแอลป์จะบานสะพรั่งทั่วอุทยานตลอดเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ในขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ย 12 องศาเย็นกว่าที่ระดับน้ำทะเล ซึ่งหมายความว่าฤดูใบไม้ร่วงจะมาถึงก่อนเวลาอันควร นำไปสู่การเปลี่ยนโฉมของพื้นที่ใหม่อีกครั้ง คราวนี้ เฉดสีแดง สีส้ม และสีเหลืองจะลุกโชติช่วงไปทั่วเนินเขาในช่วงปลายเดือนกันยายนและต้นเดือนตุลาคม ทำให้เหมาะแก่การชมดอกไม้เปลี่ยนสี ก่อนที่ฤดูหนาวจะเข้ามาครอบงำและวัฏจักรของฤดูกาลจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
อุทยานธรรมชาติแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยมีแม่น้ำคูซูเป็นเส้นแบ่ง นักท่องเที่ยวที่มีเวลาจำกัดสามารถเดินตามเส้นทางฝั่งตะวันออกของสระน้ำมิสึบะโชะและวาทาสึเกะ โดยเส้นทางนี้มีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1.5 ชั่วโมง เมื่อข้ามแม่น้ำและเข้าไปด้านในอุทยาน คุณจะได้พบกับสระน้ำอุคิชิมะและเทมโบะ ที่บริเวณนี้คุณจะได้พบกับบรรยากาศอันน่าทึ่งและโล่งกว้างพอให้คุณได้เห็นยอดเขาสามแห่งของฮาคุบะอย่างเต็มตา รวมถึงฮาคุบะ ดาอิเซคเคอิ หุบเขารูปตัววีที่มีรอยเว้าปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี การเดินทางไปยังเทมโบะนั้น คุณต้องเดินเท้าไปประมาณ 5.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3.5 ชั่วโมง คุณยังเลือกพักค้างคืนที่บ้านพักทั้งสองหลังที่ตั้งอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าอุทยานได้อีกด้วย บ้านพักมีชื่อว่า ทสึกาอิเคะ ซันโซ และทสึกาอิเคะ เฮียวเทะ
จุดเด่น
ระเบียงชมวิวที่สวยงามพร้อมร้านเบเกอรี่ในตำนานของนิวยอร์กซิตี้
จุดชมวิวฮาคุโบะ เม้าเทน ฮาเบอร์ (Hakuba Mountain Harbor) เป็นระเบียงไม้และกระจกแบบสมัยใหม่ที่ทอดยาวออกไปเหนือยอดเขาที่สูงถึง 1,300 เมตร สร้างขึ้นเพื่อชมวิวอันตระการตาของเทือกเขาแอลป์ตอนเหนืออันตระการตา ซึ่งทอดตัวข้ามหุบเขาแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีร้านเบเกอรี่ที่ให้บริการกาแฟสด ขนมหวาน รวมทั้งแซนวิช ซุป และเบียร์สด โดยจุดชมวิวนี้ได้กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับบุคคลในพื้นที่และนักท่องเที่ยวตั้งแต่เริ่มเปิดช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2018
จุดเด่น
จุดชมวิวฮาคุโบะ เม้าเทน ฮาเบอร์ ได้รับการยกย่องให้เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของฮาคุบะ ตัวระเบียงนั้นก่อสร้างให้คุณรู้สึกเหมือนลอยอยู่ในอากาศเหนือหุบเขาด้านล่าง และมีทิวทัศน์ที่อุดมไปด้วยความงดงามของธรรมชาติไปสุดลูกหูลูกตา ความแตกต่างที่คุณจะได้พบที่นี่คือ การผสมผสานระหว่างบรรยากาศที่สวยงามกับเบเกอรี่ที่หอมอร่อย ร้านเบเกอรี่เป็นร้านสาขาของ The City Bakery หรือร้านเบเกอรี่ชื่อดังของ NYC ซึ่งเริ่มกิจการที่แมนฮัตตันช่วงต้นทศวรรษ 1990 ก่อนขยายสาขาในญี่ปุ่นอีกหลายแห่งตั้งแต่ปี
ทิวทัศน์จากจุดชมวิวฮาคุโบะ เม้าเทน ฮาเบอร์ มีความสวยงามในทุกฤดูกาล แต่ที่อิวาตาเกะมีความภาคภูมิใจคือการเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการได้สัมผัสกับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าซันดัน โคโย ที่หมายถึง 'ใบไม้ร่วงสามชั้น' คือปรากฏการณ์ที่บริเวณฐานของภูเขายังคงเป็นสีเขียว ใบไม้ในตอนกลางของภูเขาจะมีสีแดงของช่วงพีคแบบฤดูใบไม้ร่วง และยอดของเทือกเขาแอลป์เป็นสีขาวและมีหิมะตก เป็นการยากที่จะบรรยายถึงความพึงพอใจในการเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันสวยงามในเช้าฤดูใบไม้ร่วงที่สดชื่นด้วยกาแฟร้อนสักถ้วยและคุกกี้ ณ ที่แห่งนี้
ถ้าคุณอยากรวมทริปของคุณกับการเล่นสกีในฤดูหนาวหรือกิจกรรมกลางแจ้ง หรือกิจกรรมครอบครัวในฤดูร้อนแล้วละก็ คุณอาจต้องใช้เวลาเต็มวันเพื่อสนุกสนานกับกิจกรรมทั้งหมด
ศาลเจ้าโทกาคุชิและสระน้ำคากามิ
ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม
ชื่อของโทกาคุชิได้มาจากภูเขาโทกาคุชิ โดยจากหินที่ขรุขระนั้นสามารถมองเห็นพื้นที่หรือหมู่บ้านได้ และมีศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งกระจายตัวทั่วป่าแห่งนี้ ศาลเจ้านี้ประกอบด้วยอาคารหลัง 5 หลังที่จัดซ้อนกันเป็น 3 แนว ซึ่งเรียกรวมกันว่า ศาลเจ้าโทกาคุชิ ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่สำคัญที่สุดทางจิตวิญญาณของญี่ปุ่นและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าสนใจที่ย้อนหลังไปถึง 2,000 ปี และเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในตำนานญี่ปุ่นโบราณ นอกจากสถานภาพอันสูงส่งของการเป็นศาลเจ้า และเป็นที่มาของเรื่องราวต้นกำเนิดอันน่าประทับใจแล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่งดงามตระการตาที่เปี่ยมไปด้วยพลัง
จุดเด่น
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องการหยุดชมศาลเจ้าโทกาคุชิ หรือศาลเจ้าด้านบน ในชื่อ โอคุชะ ตัวอาคารมีขนาดและรูปร่างมาตรฐาน โดยต้องเดิน 2 กิโลเมตรไปยังศาลเจ้าผ่านเส้นทางเดินหลักจากถนนและป้ายรถบัส ช่วงกลางทาง คุณจะได้พบกับประตูสีแดงสดใส หรือ ซูอิชินมง และทางเดินไปยังประตูนั้นขนาบด้วยต้นไม้สนญี่ปุ่นอายุกว่า 400 ปี ระหว่างการเดินผ่านเส้นทางนี้ คุณจะรู้สึกเกรงกลัวและเคารพธรรมชาติโดยรอบ ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์และความประทับใจเป็นอย่างมาก หลังการเดินชมศาลเจ้าด้านบน คุณอาจเดินผ่านป่าไปยังสระน้ำคากามิที่สวยงามและเป็นฉากยอดนิยมสำหรับการถ่ายภาพ ชื่อของสระน้ำแปลว่า “สระน้ำกระจก” ซึ่งในวันที่ลมสงบจะได้พบภาพสะท้อนทัศนียภาพอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นภาพของภูเขาโทกาคุชิอันสูงตระหง่านและป่าทึบโดยรอบ
คุณเดินทางมาเที่ยวโทกาคุชิได้ตลอดทั้งปี แต่ในฤดูหนาวอาจมีหิมะตกหนักโดยเฉาพะโอคุชะที่เข้าถึงได้ยาก หรือเข้าถึงไม่ได้เลยถ้าไม่มีรองเท้าเดินหิมะ
ยอดเขานากามิเนะ
ยอดเขาที่สวยงามพร้อมทัศนียภาพแบบพาโนรามาของอะซุมิโนะและเทือกเขาแอลป์
ภูมิประเทศนี้ดึงดูดให้ทุกคนมองไปทางตะวันตกในทันทีเพราะเป็นความสวยงามของเทือกเขาแอลป์ทางเหนือ ถัดจากนั้นเป็นที่ราบสีเขียวชอุ่มอยู่ด้านหน้า ภูเขาทางตะวันออกมีขนาดเล็กกว่าทำให้หลาย ๆ คนมองข้ามไป แต่เนินเขาเหล่านี้เป็นบ้านของอัญมณีที่ซ่อนอยู่ ที่นี่เป็นจุดที่งดงามซึ่งคนในพื้นที่รู้จักในเรื่องทิวทัศน์มุมกว้างแบบพาโนรามาที่ไม่มีใครเทียบได้จากภูเขานากามิเนะที่สูง 933 เมตร
จุดเด่น
ไฮไลท์สำคัญของการเดินทางไปยังภูเขานากามิเนะคือการมองออกไปเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ นาข้าว และบ้านที่อยู่อาศัยกระจายตัวอยู่ตรงบริเวณที่ราบเบื้องล่าง ภูเขาสูงตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของคุณ แม้ว่าบริเวณส่วนใหญ่ของภูเขาลูกนี้ปกคลุมด้วยป่า แต่พี่นที่บนยอดเขาที่พื้นที่ที่ตัดแต่งผืนหญ้าแล้วจึงไม่มีต้นไม้ แต่มีงานศิลปะขนาดใหญ่และศาลาที่ยกสูงหรือดาดฟ้าสำหรับการชมวิว นอกจากนี้ เนินหญ้าที่ทอดตัวลงเป็นที่ร่อนของเหล่านักร่มร่อนหรือ “พาราไกลด์ดิ้ง” ที่ใช้ปล่อยตัวไปเหนืออะซุมิโนะ นอกจากนี้ผืนหญ้าก็เหมาะสำหรับการนั่งปิกนิก และเป็นที่วิ่งเล่นให้เด็ก ๆ และสัตว์เลี้ยง
ภูเขานากามิเนะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามเพราะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ทำให้คุณได้ชมพระอาทิตย์ตกดินไปด้านหลังเทือกเขาแอลป์ นอกจากนี้ยังสามารถชมทิวเขาเป็นสีแดงด้วย alpenglow ช่วงอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม เวลากลางคืนมีทะเลหมอกและแสงไฟของเมืองที่งดงาม ทำให้พื้นที่นี้มีแต่ช่วงเวลาที่สวยงาม
ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเดินทางไปภูเขานากามิเนะที่รวบรวมความงดงามของดอกซากุระที่บานสะพรั่งไปทั้งภูเขาและแอลป์ที่หิมะยังปกคลุมอยู่
การบำบัดด้วยธรรมชาติป่าชินะโนมาจิ
บรรยากาศที่สวยงามเป็นจุดหลักแห่งการบำบัดด้วยป่าไม้
ชินะโนมาจิเป็นที่ตั้งของธรรมชาติอันหลากหลายที่มีความงดงามของพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ราบสูงภูเขาไฟคุโรฮิเมะ โคเก็น น้ำตกนาเอนะอันโอ่อ่า และทะเลสาบโนจิริที่กว้างใหญ่ ความยิ่งใหญ่ของสถานที่เหล่านี้ดึงดูดให้นักท่องเที่ยว นักเขียน นักคิด และผู้คนมามากมายให้มาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้มานานหลายศตวรรษ แต่แล้วป่าไม้ชินะโนมาจิยังคงความเก่าแก่ที่สวยงาม และยังคงพลังในการบำบัดที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
จุดเด่น
ตรงกันข้ามกับภาพที่บางคนมองว่าญี่ปุ่นเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น นี่คือประเทศเต็มไปด้วยภูเขาและป่าไม้ แม้กระทั่งในยุคหนึ่งที่เป็นยุคแห่งการตัดไม้ทำลายป่าอย่างรุนแรง แต่สองในสามของผืนดินที่นี่ยังคงปกคลุมไปด้วยป่าไม้ ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึงสองเท่า ความเชื่อมโยงและความเคารพในธรรมชาติของญี่ปุ่นนั้นลึกซึ้ง และไม่มีที่ไหนจะเห็นได้ชัดเจนไปกว่าในเมืองเล็กๆ อย่างชินาโนะมาจิ ที่ป่ามีสวยงาม หลากหลาย และสมดุลของชินาโนะมาจิมีอิทธิพลอย่างมากในการศึกษาและพัฒนาปรากฏการณ์ “การอาบน้ำในป่า” หรือ “การบำบัดด้วยป่า” ที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก
การบำบัดด้วยป่าเน้นการปลุกประสาทสัมผัสทั้งหมดพร้อมกันเพื่อการผ่อนคลายจิตใจและร่างกายให้บรรเทาความเครียด ลดความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้า ซึ่งเป็นการฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม ป่าอันอุดมสมบูรณ์ของชินะโนมาจิถูกใช้เป็นพื้นที่สำหรับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความอ่อนเยาว์ และในที่สุด หลักการที่ได้จากการศึกษาก็ถูกใช้เป็นหลักการและเทคนิคในการบำบัดด้วยป่าไม้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าไม่มีที่ไหนเหมาะสำหรับการทำป่าไม้บำบัดไปกว่าชินะโนมาจิอีกแล้ว
ในบริเวณชินะโนมาจิมีไกด์ส่วนตัว หรือไกด์กลุ่มเล็ก ๆ ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นในชื่อโปรแกรม “Iyashi no Mori” หรือ “การบำบัดด้วยป่า” ซึ่งมีให้บริการทั้งแบบเต็มวันและครึ่งวัน และกิจกรรมการบำบัดหลากหลายประเภท
การบำบัดด้วยป่าเปิดให้บริการตลอดปี ช่วงฤดูหนาวคุณต้องใส่รองเท้าเดินหิมะ หมู่บ้านแห่งนี้ยินดีจะช่วยคุณตัดสินใจคอร์สที่ตอบโจทย์ของคุณโดยพิจารณาฤดูกาลและอากาศร่วมด้วย
Click here to get the latest information on Central Japan.Centrip Japan - Nagoya and Chubu Information